อ่านบทความทางการศึกษาของ "อาจารย์สุรพศ ทวีศักดิ์ แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์หัวหิน" ... ผมถือว่าเป็นบทความที่แสดงความกล้าคิดสิ่งใหม่ ๆ มีประเด็นอยู่มากมายอยู่ภายในนี้ ลองอ่านกันก่อนนะครับ
มหาวิทยาลัยกำลังหลงทาง เพราะตั้งโจทย์การแข่งขันผิด
เป็นความจริงว่า คนในประชาคมมหาิวิทยาลัยยุคปัจจุบันมีวิถีชีิวิตอยู่กับความเครียดสูง เนื่องจากต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตนเองและองค์กร ท่ามกลางการแข่งขันทางการศึกษาที่เข้มข้นมากขึ้นทั้งภายในประเทศและในระดับนานาชาติ
แต่เมื่อพิจารณาดูโจทย์การแข่งขันของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในบ้านเราขณะนี้ ดูเหมือนจะมีโจทย์หลัก ๆ กันอยู่ 4 ข้อ คือ
1. โจทย์เรื่องลูกค้า ... มหาวิทยาลัยต่าง ๆ วิตกกังวลมากขึ้นว่า นับวันลูกค้าที่เป็นนักศึกษาจะลดจำนวนลง เนื่องจากการขยายตัวของมหาวิทยาลัยเอกชนและการเปิดศูนย์การศึกษาของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ในขณะที่จำนวนเด็กที่จบมัธยมศึกษาลดลง
ความอยู่รอดของมหาวิทยาลัยจึงขึ้นอยู่กับการพยายามหาคำตอบว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถ "แย่งลูกค้า" ที่มีจำนวนจำกัดเข้ามาสู่สถาบันของตนให้ได้มากที่สุด และทำอย่างไรมหาวิทยาลัยจึงจะหารายได้ทางอื่นเลี้ยงตนเองได้นอกเหนือจากการสอน
เช่น ต้องรับจ้างทำวิจัย หรือ สร้างธุรกิจอื่น ๆ บนพื้นฐานความเชี่ยวชาญของตนเอง เป็นต้น
(... เป็นการดิ้นรนของมหาวิทยาลัยที่มุ่งไปที่ตัวลูกค้าก่อน ... ส่วนวิธีการอื่นให้ความสำคัญน้อยกว่า หรือไม่ต้องคิดกันเลย จริงหรือ :)
2. โจทย์เรื่องทำการตลาด ... ในตลาดที่ดูเหมือนลูกค้ามีจำกัด แต่ละมหาวิทยาลัยต่างแข่งขันกันเปิดหลักสูตรใหม่ ๆ และสร้างกลยุทธ์การตลาดขายความรู้ที่มุ่งความพึงพอใจของลูกค้าเป็นตัวตั้ง
จึงมีการแข่งขันกันเปิดหลักสูตรปริญญาตรี โท เอก กันเกร่อ แม้อาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยตนเองไม่เพียงพอ ก็ยอมจ้างอาจารย์พิเศษเกินครึ่ง เพื่อแย่งลูกค้าเอาไว้ก่อน และสร้างแรงดึงดูดลูกค้าด้วยสโลแกน "จ่ายครบก็จบได้" แต่ละหลักสูตรระดับปริญญาโท เอก ในแต่ละรุ่นจึงรับนักศึกษากันได้เกินครึ่งร้อยหรือเป็นร้อยคน
กลยุทธ์เช่นนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อที่ว่า จะทำให้องค์กรของตนเองก้าวหน้าและอยู่รอดในโลกของการแข่งขัน
แต่ในความเป็นจริงการแข่งขันกันอย่างมืดบอดเช่นนี้ต่างหากที่จะทำใ้ห้ทุกฝ่ายถึงจุดหายนะเร็วขึ้น
( ... ตลาด หมายถึง การตั้งชื่อหลักสูตรวิชาให้ยั่วยวนใจลูกค้า จบไปแล้วบางทีงานยังไม่ทราบว่า ทำอะไรแน่นอน หรือใช้คำฮิตว่า บูรณาการ :)
3. โจทย์เรื่องการเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบ ... ที่พูดถึงเฉพาะการเพิ่มรายได้ของผู้บริหาร บุคลากรของมหาวิทยาลัย และความคล่องตัวในการบริหารจัดการเพื่อความอยู่รอดในโลกของการแข่งขัน
แต่ขาดกระบวนการสร้างความชัดเจนทั้งในประชาคมมหาิวิทยาลัยเองและต่อสังคมภายนอกในคุณภาพของการศึกษาความเป็นธรรมต่อผู้เีรียนที่ต้องจ่ายแพงขึ้น ความเป็นที่พึ่งทางปัญญาของสังคมและการมีบทบาทนำในการสร้างสรรค์สังคมให้เป็นธรรมและก้าวหน้าที่มีจุดยืนที่ชัดเจน โดยไม่ใช่เอาแต่วิ่งตามกระแสการแข่งขันทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่า จุดหมายปลายทางการแข่งขันที่ต่างพากันพุ่งไปหา
นั้นคือ "วัฒนะ" หรือ "หายนะ" กันแน่
(...ไม่มีคำตอบจากสวรรค์ เพราะผู้ชี้ขาดไม่ใช่ประชาคม บุคลากรเป็นแค่เฟืองเล็ก ๆ ที่ไม่สำคัญ ไม่มีอำนาจตัดสินใจ ต้องรวมใจเท่านั้น :)
4. โจทย์เรื่องงานทางวิชาการที่ยึดติดรูปแบบและคับแคบ ... ทำไมคนทั่วไปจึงรู้สึกว่าตำราเรียนหรืองานวิชาการต่าง ๆ นั้นเป็นงานเขียนใน "แนวชวนง่วง" คำตอบน่าจะเป็นเพราะว่ารูปแบบงานวิชาการที่ประชาคมมหาวิทยาลัยยึดมั่นถือมั่นกันอย่างเหนียวแน่นนั้นทำให้ผลงานวิชาการขาด "พลังท้าทายทางความคิด"
เพราะรูปแบบ หรือ ประเพณีการเขียนตำรา หรือ งานวิชาการนั้นเขาห้ามคิดให้คิดแต่น้อย หรือคิดเองเท่าที่จำเป็น ตำราหรืองานวิชาการจึงเป็นผลิตผลแห่งการลอกกันไปลอกกันมา ในประชาคมวิชาการคนที่เขียนหรือพูดโดยอ้างอิงความคิดของคนอื่น ๆ ได้มาก ย่อมได้รับยกย่องว่าเป็น "ผู้รู้" แต่ถ้าคิดเองก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับ เพราะ "ความคิด" ไม่ใช่ "ความรู้"
ที่ตลกไม่ออกคือ บางทีเส้นแบ่งระหว่างความคิดกับความรู้ก็อยู่ที่ "รูปแบบ" ล้วน ๆ เช่น ถ้าให้คนในประชาคมวิชาการตัดสินบทความชิ้นหนึ่งของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ (หรือคนอื่น ๆ) ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน เขาก็จะตัดสินว่านั่นไม่ใช่ "บทความวิชาการ" แต่เป็น "บทความทรรศนะ" หรือไม่ใช่ "ความรู้" แต่เป็น "ความคิด" แต่ถ้า "อาจารย์เขียว" เขียนบทความวิชาการตามรูปแบบงานวิชาการโดยอ้างอิงบทความเดียวกันนั้นเขากลับถือว่าเป็นความรู้
คือในรูปแบบหนึ่งบทความของนิธิเป็นเพียง "ทรรศนะ" (ของนิธิ) แต่ในอีกรูปแบบหนึ่งบทความเดียวกันนั้นเป็น "ความรู้" ที่อ้างอิงได้
ในทำนองเดียวกันนี้ตำราเรียนหรืองานวิชาการต่าง ๆ ก็อ้างอิง "ความคิด" ของปราชญ์ด้านต่าง ๆ โดยถือว่า เป็น "ความรู้" การมีความรู้จึงหมายถึงการรู้ว่า ... หรือจำได้ว่า ...
คนอื่นคิดพูดเขียนเอาไว้อย่างไรในการเขียนตำราหรืองานวิชาการโดยส่วนมากจึงเป็นการรายงานความรู้อย่างที่ว่านี้ และด้วยเหตุดังนี้ เมื่อนักศึกษาทำข้อสอบคนที่ควรจะได้คะแนนดีที่สุดจึงไม่ใช่คนที่คิดเก่ง แต่เป็นคนที่จำตำราได้เก่ง
ที่ว่ามานี้ไม่ใช่ผู้เขียนสรูปว่า ประเพณี "การอ้างอิง" (reference) ในทางวิชาการเป็นปัญหาในตัวมั่นเอง แต่สิ่งที่ต้องการชี้ให้เห็นคือ "การยึดมั่น" (อุปาทาน) ในรูปแบบการอ้างอิงอย่างเซื่อง ๆ ต่างหากที่ไปทำลายความเชื่อมั่นในการคิด ทำให้คนในมหาวิทยาลัยไม่กล้าคิดแตกต่าง (โดยเฉพาะคิดต่างจากผู้บริหารซึ่งติดยึดในวัฒนธรรม "การคิดแทน" และ "สั่งการ" ที่ยังมีกันอยู่มากในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ) หรือกระทั่งคิดไม่เป็น และไม่มีบทบาทนำทางปัญญาของสังคม
ดังเช่นตัวอย่างวิธีคิดโจทย์การแข่งขันผิด ๆ ที่ยกมานั้น กำลังสร้างวัฒนธรรมแฟชั่น "การแข่งขันเทียม ๆ" ในประชาคมมหาิวิทยาลัย (ซึ่งดึงดูดทุกมหาวิทยาลัยให้ลงไปอยู่ในลู่แข่งเดียวกัน) เพราะโจทย์ของการแข่งขันดังกล่าวนั้นไม่อาจนำไปสู่คำตอบเรื่องคุณภาพของการศึกษา ความรู้ความสามารถ คุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้เรียน การสร้างสรรค์ปัญญาและสังคมที่มีความเป็นธรรมกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งควรเป็นบทบาทหลักของมหาวิทยาลัย
(... ประเ็ด็นนี้ พลิกความคิดเรื่องการเขียนผลงานวิชาการ หรือบทความ เลย น่าจะนำไปคิดต่อยอดได้ ขอซื้อครับ ความคิดนี้ สุดยอด :)
กลายเป็นว่าในท่ามกลางสังคมที่หลากปัญหาและไม่อาจพึ่งปัญญาจากมหาวิทยาลัยได้ แต่มหาวิทยาลัยกลับหมกมุ่นอยู่กับการแข่งขันเทียม ๆ ต่างพุ่งไปข้างหน้าด้วยดวงตาจับจ้องจุดหมายปลายทางที่ไกลห่างจากทุกข์ของสังคมมากขึ้นทุกที
แท้ที่จริงมหาวิทยาลัยจะอยู่รอดได้อย่างมีคุณค่า จำเป็นต้องตั้งโจทย์ให้ถูกต้อง และสร้าง "การแข่งขันแท้" นั่นคือ ต้องเอาปัญหาของมนุษย์ สังคม ธรรมชาติ หรือโลกตั้งเป็นโจทย์และแข่งขันกันพัฒนาความรู้ความสามารถ ทักษะ อาชีพที่เท่าทันความก้าวหน้าของตลาดงานปัญญา คุณธรรม ของผู้เีรียน สร้างสรรค์องค์ความรู้และภูมิปัญญาเพื่อขับเคลื่อนสังคมและโลกไปสู่ความเป็นธรรมและน่าอยู่มากขึ้่น
หากมหาวิทยาลัยตั้งโจทย์และสร้างการแข่งขันที่ยึดสังคมเป็นตัวตั้งจริง (ไม่ใช่เพียงกล่าวอ้างเป็นพิธีการ) หรือสามารถสร้างบทบาทนำใน "วัฒนธรรมการแข่งขันที่ถูกต้อง" ในโลกที่จำเป็นต้องแข่งขัน ปัญหาเรื่องการขาดแคลนลูกค้าและความโหดร้ายของการแข่งขันคงไม่ทวีความรุนแรงเช่นปัจจุบัน
เพราะในระยะยาวสังคมย่อมอุ้มชูมหาวิทยาลัยที่ "ทำการศึกษา" เพื่อสังคม มากกว่ามหาวิทยาลัยที่มุ่ง "ทำธุรกิจการศึกษา" เพื่อตัวเอง !
หนังสือพิมพ์มติชน ปีที่ 31 ฉบับที่ 10908 ประจำวันที่ 21 มกราคม 2551 หน้า 10
ผมชอบวิธีคิดของ "อาจารย์สุรพศ ทวีศักดิ์ แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์หัวหิน" ... ในบทความนี้ครับ ...
ผมเคยเรียนวิชา "สารัตถวิทยา" อาจารย์สอนผมว่า "คนมีความคิดต้องรู้จักการคิดนอกกรอบ ไม่ใช่ คิดตามคนอื่น ไม่ีมีความคิดอะไรเป็นของตัวเอง"
ขอบคุณอาจารย์ครับ
บุญรักษา ทุกท่าน ครับ :)
อ่านจนเหนื่อยเลยครับ :)
เพราะโจทย์ผิด การพัฒนาบ้านเมืองถึงได้ผิดพลาดตามไปด้วย เรากำลังล้อเล่นกับอนาคตของชาติ ด้วยโจทย์การแข่งขันผิด...
มหาลัย มหาหลอก ...
ค่าหน่วยกิตแพงขึ้น (อย่างไม่น่าเชื่อ) แล้วอย่างนี้คนจนๆจะเข้าถึงได้ยังไง...
ฮัลโล ๆ คุณเอก ...
ขอบคุณมากครับ คุณเอก ... มีความสุขครับ :)
สวัสดีครับคุณ Wasawat Deemarn
แค่นี้ก่อนนะครับ มันจะเกินงาม
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์นิโรธ
"มหาวิทยาลัยกำลังหลงทาง" เพราะตั้งโจทย์การแข่งขันผิด เห็นด้วยที่อาจารย์นำบทความนี้มาแสดงความคิดเห็นกัน
แต่ละมหาวิทยาลัย มีเอกลักษณ์ ในเชิงพื้นที่ ในเชิงวัฒนธรรม ในบริบท ที่มหาวิทยาลัยนั้นตั้งอยู่ ทำไมไม่สร้างเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัย และวิชาการที่เด่นชัด ออกมา แทนที่จะแย่งกันเปิดหลักสูตรแบบเดียวๆ กัน บางที่เก่งการเกษตรที่สูง ก็ให้ทำการเรียนการสอนวิจัยในเรื่องพืชที่สูงไปสิ จะเกิดความเชี่ยวชาญชำนาญทีเดียว เทคโนโลยีการยาง (ที่ม.อ.) การประมงและชายฝั่ง (มหาวิทยาลัยที่ติดทะเล)
แล้วก็ส่งเสริมกันให้เป็นที่ยอมรับในระดับชาติ ฟื้นฟูเอกลักษณ์ จากทรัพยากรของไทยและเอเชียที่เรามีอยู่นี่แหละ ^^
เห็นด้วยกับอาจารย์ ครูgisชนบท ต่อด้วยครับ อิ อิ
อัตลักษณ์ เป็นความสำคัญเหลือเกิน ไม่ควรมีมหาวิทยาลัยในประเทศแห่งนี้มานั่งเป็นคู่แข่งกัน
เพราะ "เงิน" ตัวเดียวหรือเปล่าครับเนี่ย
ขอบคุณครับอาจารย์ ;)