ที่รักเธออยู่ไหน เมื่อไฟดับ


พวกสันดานเสียนี่แหละที่เป็นปัญหาพอกหางหมูระดับประชาชาติ น่ากลัวกว่าพวกม๊อบที่ไปเย๊วๆเสียอีก ที่พูดนี่ก็ใช่ว่าผมจะดีวิเศษวิโสอะไรนะครับ เพราะผมก็เป็นพวกดีแต่ปากแถมยังปากไม่เอื้ออาทรเสียอีก

 

(ถ้ารักต้นไม้เท่าน้องภรรยา ดีแน่ๆ)  

ผมอ่านบทความอาจารย์ใหญ่นายแพทย์ประเวศ วะสี สะท้อนคิดเรื่อง จะออกจากมิคสัญญีกลียุคได้อย่างไร ก็แอบตอบคำถามในใจว่าว่ามันออกไม่ถูกเพราะปัญญามืดบอด ซึ่งมันเหมือนกับไฟฟ้าดับทั้งเมือง จึงเป็นห่วงที่รัก ถามว่า..”เธออยู่ไหนเมื่อไฟดับ อาจารย์เปิดประเด็นว่า ทำไมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านพระพรมคุณาภรณ์(ป..ปยุตโต) ทุ่มเทสอนเรื่องศีลธรรมอย่างแข็งขันตลอดมา แต่บ้านเมืองก็ไม่เกิดความดีงามเป็นปกติสุข นับวันจะมีความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นในสังคม แตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า

      Dscf0714+%28small%29

อาจารย์บอกว่าถ้าระบอบประชาธิปไตยไม่ลงตัว ทุกฝ่ายทุกสถาบันจะลำบากและอลเวงหมด สุดท้ายก็ไม่รู้จะยึดอะไรเป็นหลักชัยของชาติ ในเมื่อสำนึกไทยเหมือนไม้หลักปักขี้เลนอย่างนี้ ผมเห็นตามด้วยในประเด็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ  มันก็จะสร้างระบบแบบแผนไทยๆอย่างที่เห็น ในสภา..ท่านประธานที่เคารพ ผมเคารพท่านประธาน แต่พอประธานสั่งให้นั่ง ดื้อดึงยิ่งกว่าช้างตกมัน ปากจัดระรานประธานจนเหลืออด ลืมกระทั่งคำพูดเกริ่นนำของตนเอง 

ขณะนี้ทุกคนจะลุกฮือเรียกร้องหาสิทธิอย่างบ้าคลั่ง แต่พอให้เลือกตั้งกลับขายสิทธิเฉยเลย เอาสิทธิมาขายกินตั้งแต่แรกแล้วยังจะแหกกระเชอหาสิทธิ์อะไรอีกเล่า กระเหี้ยนกระหือกันเหลือเกินที่จะได้สิทธิ ใช้สิทธิ แสวงหาสิทธิ พวกลิงได้แก้วแท้ๆ ผลจากประชาธิปไตยเปลี่ยนไปเป็นประชาธิปตาย มันจะนำไปสู่การตายนึ่งตายหมู่ทั้งบาง 

สาเหตุหลักอีกประการหนึ่ง ผมเข้าใจว่าน่าจะมาจากการศึกษา พูดถึงการศึกษาผมไม่ได้หมายถึงเฉพาะที่มีอยู่ในโรงเรียนหรือสถานศึกษาเท่านั้น แต่หมายถึงการศึกษาทั้งระบบของสังคม ถ้าระบบการศึกษาไม่ได้สร้างคนแต่ละรุ่นขึ้นมาสร้างบ้านแปงเมือง ให้มีคุณภาพเพียงพอที่จะพัฒนาสังคมให้เจริญรุ่งเรื่องตามที่ควรจะเป็น สังคมก็เน่าบูดเกิดวิกฤติโยงใยกันไปทั่ว ใครจะวัดประเมินการศึกษาในแง่มุมไหนก็ทำไปเถิด ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ที่มองว่า การศึกษาเราไม่มีคุณภาพและศักยภาพพอที่จะปกป้องสังคมให้อยู่ดีมีสุขได้ สำนึกไทย คุณธรรมไทย ถูกเบียดไปไว้ข้างหลัง ไปหยิบยกเอาของตะวันตกมายกย่องเชิดชู มาดมมาหอมไปเสียทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของวัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม มันผิดตัวผิดฝาไปหมด การถูกกลืนวัฒนธรรมมันก็เหมือนการถูกเด็ดขั้วยิ่งกว่าเป็นเมืองข้าทาสบริวารเสียอีก 

ผมคิดว่าถ้าคนไทยไม่ทำ2หน้าที่ประเทศนี้เละแน่ นอกจากจะทำหน้าที่การงานตามปกติให้ดีแล้ว ทุกท่านควรทำหน้าทีดูแลสังคมด้วย ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตากอบโกยผลประโยชน์ เอาตำแหน่งหน้าที่มาหากินแบบเถื่อนๆ ถ้าคนในชาติไม่เห็นคุณของแผ่นดิน ไม่ตระหนักในหน้าที่พลเมือง ความเหลวไหลของคนในชาตินี้เองที่จะบั่นทอนความมั่นคงไปเรื่อยๆ ตอนนี้ยังมองไม่เห็นทางออกจริงๆ เพราะทุกคนช่วยกันปิดประตูลงกลอนอย่างแข็งแรง แถมยังกำลังโบกปูนทับประตูเข้าไปอีก

 ความคิดอ่านที่ถูกธรรมนองคลองธรรมจะมาจากไหน ถ้าไม่มาจากการศึกษา การนำประชาคมไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้น่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย เราจะไปคาดคั้นให้คนไม่รู้ทำนั่นทำนี่ได้อย่างที่ควรจะเป็นมันตลก เรื่องใหญ่ที่ควรจะผ่าตัดก็คือคุณภาพของการศึกษา ผมเห็นแต่ภาคเอกชนระดับใหญ่ๆ เช่น บริษัทปูนซิเมนต์ไทยเป็นต้น ที่ให้พนักงานเว้นวรรคงาน6เดือน เข้าค่ายตามขั้นตอนของการพัฒนาทรัพยากรบุคคล จัดลำดับเป็นขั้นเป็นตอน อบรมดูงานฝึกฝนกระบวนการสร้างสำนึกที่ดีกันอย่างเป็นรูปธรรม ลงไปกินกลางดอนนอนกลางป่าช้า เข้าไปศึกษาวิถีไทยในหมู่บ้าน เรียนรู้งานรากหญ้าไปจนถึงรากแก้วรากฝอย  

ถ้าทุกสถาบันช่วยกันพัฒนาองค์กรของตน ก็จะเป็นการช่วยชาติได้อย่างตรงเป้าหมายที่สุด เพียงแต่อย่าทำแบบลิงหลอกเจ้า เหมือนที่ในระบบราชการบางแห่งทำจนนิสัยเสีย พวกสันดานเสียนี่แหละที่เป็นปัญหาพอกหางหมูระดับประชาชาติ น่ากลัวกว่าพวกม๊อบที่ไปเย๊วๆเสียอีก ที่พูดนี่ก็ใช่ว่าผมจะดีวิเศษวิโสอะไรนะครับ เพราะผมก็เป็นพวกดีแต่ปากแถมยังปากไม่เอื้ออาทรเสียอีก

หมายเลขบันทึก: 103780เขียนเมื่อ 16 มิถุนายน 2007 02:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:03 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

กราบสวัสดีครับท่านครู

  • ขอบคุณมากครับ
  • ที่รักเธออยู่ไหน เมื่อใจดับ
  • ที่รักเธอจะมีที่อยู่ไหม เมื่อสมองดับ
  • ที่รักเธอจะอยู่ได้อย่างไร เมื่อการศึกษาดับ
  • อ่านแล้ว ก็ต้องถอนสายบัว...ครับ
  • คำตอบอยู่ที่ชุมชน ไม่ใช่ในสภา......
  • ขอบพระคุณมากครับ
ที่รัก..เธออยู่ไหน ทำอะไร นั่งเฉยๆ หรือเฉยเมย ไม่เสบย หรือสบาย หรือหายหน้าเพราะว่าไปสนามหลวง
สุทธินันท์ ปรัชญพทธิ์
ท่านอาจารย์ใหญ่ เสนอนโยบายที่โดนใจอีกแล้ว ขออนุญาตนำมาลงให้ช่วยกันอ่าน และหาทางสร้างความร่วมมือกัน
มหาวิทยาลัยกับการสร้างความรู้ให้แก่พื้นที่

 

          วันที่ ๒๙ พ.ค. ๕๐   ผมได้รับเชิญไปบรรยายเรื่อง  "มหาวิทยาลัยกับการสร้างความรู้ให้แก่พื้นที่"   ในสัมมนาวิชาการเครือข่ายการวิจัยบูรณาการลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง ครั้งที่ ๕  ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

          ผมได้เสนอว่านักวิชาการในมหาวิทยาลัยต้องเข้าไปเป็นภาคีร่วมเรียนรู้กับชาวบ้านในพื้นที่ด้วยท่าทีที่ไม่ใช่มุ่งเข้าไปสร้างความรู้ให้แก่พื้นที่  แต่ต้องมีท่าทีเข้าไปร่วมสร้างความรู้   โดยมีความเชื่อว่าชาวบ้านมีความรู้อยู่แล้ว   แต่เป็นชุดความรู้บูรณาการที่มาจากการปฏิบัติเป็นชุดความรู้ที่มีธรรมชาติคนละแบบกับความรู้ของนักวิชาการ

          ผมได้เสนอว่า   มหาวิทยาลัยควรใช้พื้นที่หรือชุมชน   เป็น "เบ้าหลอม" ความรู้ต่างศาสตร์  จากนักวิชาการหลากหลายสาขา   เพื่อนำไปสู่การ "ผสมพันธุ์ทางวิชาการ" สร้างศาสตร์ใหม่   ที่เป็นการสร้างศาสตร์จากแผ่นดินแม่   จากบริบทของพื้นที่

          ผมได้เสนอ  "พื้นที่หลอมศาสตร์  ที่เป็นพื้นที่ทางสังคม ๒ แนว คือ
          ๑. พื้นที่ทางสังคมระหว่างนักวิชาการ (หลายศาสตร์) กับชาวบ้าน
          ๒. พื้นที่ทางสังคมระหว่างนักวิชาการต่างศาสตร์  ซึ่งจะต้องมีการคิดค้นทดลองกระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางวิชาการที่จะให้เกิดการ "สปาร์ค" ระหว่างศาสตร์ได้

          นอกจากนั้น ผมยังได้เสนอว่า สังคมวิชาการพหุศาสตร์ ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ท้องถิ่น  จะต้องเชื่อมโยงกับโลกวิชาการเฉพาะศาสตร์ภายในประเทศ  และในวงการวิชาการนานาชาติด้วย   เข้าทำนองเชื่อมโยง globalization กับ localization
 
          ผมได้เสนอว่า   นักวิชาการต้องมีเป้าหมายสร้างความรู้เพื่อคุณประโยชน์ ๒ ด้าน
          ๑. เพื่อการใช้ประโยชน์โดยชาวบ้าน
          ๒. เพื่อสร้างความรู้ให้แก่โลก  ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการนานาชาติ  ซึ่งในกรณีนี้โจทย์วิจัยจะต้องมีเป้าหมาย   อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง   ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร   ต้องเป็นงานวิจัยระดับ explanatory ตอบคำถาม why?   ไม่ใช่แค่ระดับ descriptive ตอบคำถามเพียงแค่ what?   อย่างที่ทำกันโดยทั่วไป

          ท่านที่สนใจ Ppt. ในการบรรยายดังกล่าว อ่านได้ที่นี่ และ

วิจารณ์   พานิช
๒๙  พ.ค. ๕๐

 

ใบบอก ออกจากมหาชีวายอีสาน

วันที่16 มิถุนายน  2550

เรื่อง   ส่งเทียบเชิญมาสนทนาปัญหาใจ

เรียน   ท่านเล่าฮูแสวง รวยสูงเนิน

    ด้วยความครุ่นคิดถึงท่านอย่างแรง ประจวบกับท่านไร้กรอบจะลงมานอนสนทนาด้วยในวันที่27-28 เดือนนี้  ผมได้เตรียมเก้าอี้ฮ่องเต้แจกนั่งๆนอนๆไว้ให้ท่านแล้ว1ที่ มาช่วยเจรจาพาทีหน่อยเถิดนะท่านเล่าฮู ไม่อย่างนั้นประวัติศาสตร์หน้านี้อาจจะจืดชืดเหมือนน้ำงศีรษะที่ไม่มีผมได้

                          ด้วยความรำลึกถึงอย่างใจจดจ่อ

                              เจ้าสำนักสวนป่าแห่งโคกดินแดง

เรียน ท่านครูบาสุทธินันท์ ที่เคารพ • ช่างโดนใจผมอีกแล้วครับ เพราะหลายคนดีแต่พูด และก็เสนอแนะว่าควรทำอย่างโน้น อย่างนี้บ้าง แต่ตัวเองไม่ยอมลงมือทำสักกะที ไม่ทราบว่าคนประเภทนี้ เขาเรียกว่ากะไรครับ • เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ในการที่คนเราจะอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุขนั้นต้องทำหน้าที่ทางสังคมบ้าง ใช่ว่าจะทำเฉพาะหน้าที่ของตนเอง ส่วนจะทำมากทำน้อยก็คงขึ้นอยู่กับโอกาส เพราะคนเรามีพื้นฐานการเกิดที่ไม่เหมือนกัน มีต้นทุนชีวิตที่ต่างกัน หากเราได้มีโอกาสที่จะเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ก็จะทำให้สังคมเป็นสุขได้ ดังนั้นจึงใคร่ขอวิงวอนผู้ที่มีต้นทุนชีวิตสูง ได้กรุณาแบ่งปันผู้ด้อยโอกาสด้วยนะครับ • การเสียสละ และสร้างความเข้าใจร่วมกัน เป็นกุศลกรรมอย่างหนึ่งที่สามารถสร้างความรัก และความสามัคคีให้กับชุมชนสังคมได้เช่นกันครับ ด้วยความเคารพ อุทัย อันพิมพ์
  • มารายงานตัว
  • เพราะมีการประท้วงที่กรุงเทพฯผมเลยตกรถกลับไปเยี่ยมแม่ไม่ได้เลย
  • ชอบการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติครับพ่อ
  • ถ้านักวิชาการมาเรียนรู้กับชุมชนจะมีข้อดีมากเลยครับ ทำอย่างไร จะเป็นแบบนั้นได้ครับผม
  • หรือผม ต้องทำตัวเป็นนักวิชาเกินแบบนี้เรื่อยๆๆไป
  • ขอบคุณครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท