484 พิมานในห้าง


สถานที่สงบและสบาย

 

 

พิมานในห้าง......สถานที่ปฏิบัติธรรมสมัยใหม่

 

ผมเคยเขียนเรื่องโครงการเปิดประตูอุโบสถมานานแล้ว สมัยที่เครื่องคอมพิเตอร์ยังใช้ระบบดอสและบันทึกข้อมูลในดิสเก็ต มาวันนี้จะหาบทความนั้น ก็ทำไม่ได้แล้ว จึงต้องมาพยายามเรียบเรียงใหม่

สาระของโครงการเปิดประตูอุโบสถเกิดขึ้นจากความคิดที่ได้จากการไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศสสมัยยังเป็นเด็ก  ที่เมืองตูลูซ ทางใต้ของฝรั่งเศส ด้วยความที่เป็นพุทธ ชอบเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่ที่ตูลูซไม่มีวัดไทยหรือวัดพุทธเลย จึงต้องอาศัยเข้าโบสถ์ฝรั่งแทน โบสถ์ฝรั่งนี้ มีหลายแห่ง ในกลางเมืองที่ผมอยู่ มีโบสถ์ 2-3 แห่ง ซึ่งมานึกดูภายหลัง ปรากฏว่าโบสถ์นั้นตั้งอยู่ริมถนน ติดกับอาคารบ้านเรือนของคนทั่วไปนั่นเอง การเข้าโบสถ์จึงสะดวกมาก ประตูโบสถ์เปิดตลอดเวลา หลังจากเลิกเรียนที่มหาวิทยาลัย ก็สามารถแวะไปนั่งสงบสติอารมณ์ได้ทุกวัน ผมเข้าโบสถ์เป็นประจำ  ไม่ได้เป็นคริสต์แต่ถือว่าโบสถ์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับวัดและอุโบสถของเรา เมื่ออยู่บ้านเขา จึงต้องทำตัวให้กลมกลืนกับเขา คนของเขาก็เข้าโบสถ์กันประจำ ไม่ใช่เฉพาะวันอาทิตย์ที่จะมีพิธีสวดอย่างเป็นทางการ สิ่งนี้เป็นความแตกต่างจากวัดในบ้านเราที่เห็นได้ชัด 

วัดในเมืองไทยหากอยู่ในเมืองก็จะมีรั้วรอบขอบชิด กว่าจะเข้าไปได้ถึงตัวอุโบสถได้ต้องยอมรับว่ายากเย็น ไม่สะดวก และเมื่อเข้าไปแล้ว หลายวัดปิดประตูอุโบสถ หากอยากเข้าจริง อาจจะต้องไปหาพระที่ดูแลให้เจอเพื่อมาเปิดอุโบสถได้ ในหลายวัดที่มีชื่อเสียง ก็มีลักษณะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีผู้คนพลุกพล่าน มีคนดูแล กว่าจะพาตัวเข้าไปนั่งในอุโบสถได้ก็ผ่านหลายด่าน ผมพบว่าในหลายวัดของเราที่เปิดอุโบสถให้คนเข้าไปนั้น ก็มิได้เน้นให้เข้าไปเพื่อสงบจิตใจ แต่เข้าไปเพื่อทำบุญ ไหว้พระพุทธรูปแล้วก็เสร็จ จะหาวัดที่มีพระอุโบสถโล่งๆ ว่างๆ สงบๆ เพื่อให้คนเข้าไปนั่งสมาธิหรือสงบจิตไม่ค่อยมี

เหคุผลหนึ่งที่ผมทราบจากพระเองว่าการเปิดอุโบสถของวัดในเมืองไทย ทำได้ยากเพราะในอุโบสถมีพระพุทธรูปที่มีค่าเยอะ ในอดีตมีการขโมยพระพุทธรูปมาก วัดเลยต้องงดการเปิดอุโบสถหรือเปิดเป็นเวลา และเฉพาะวันพระ และบางวัดสร้างกรงเหล็กครอบพระอุโบสถและบริเวณที่ตั้งพระพุทธรูปทั้งหมดหมดเพื่อป้องกันคนขโมย…..เป็นประสบการณ์ที่ผมเจอด้วยตัวเองในการตระเวณเยี่ยมชมวัดในเมืองไทย

คนไทยจึงไม่นิยมเข้าวัดเข้าอุโบสถเพื่อหาความสงบในจิตใจโดยส่วนใหญ่จะเข้าวัดเพื่อทำบุญ แต่ขณะเดียวกัน คนเราก็ต้องการความสงบของจิตใจในการดำเนินชีวิตในทุกวัน จากบ้านไปทำงานไม่มีโอกาสได้ทำจิตใจให้สงบเลย ไหนจะรถติด ความวุ่นวายสับสนบนท้องถนน ถึงที่ทำงานแล้ว ก็ต่างเข้าห้องทำงานกันเครียดเรื่องงานกัน จะมีเพียงห้างสรรพสินค้าที่เป็นสถานที่ที่ช่วงพักเที่ยงพอจะออกไปพักผ่อนหย่อนใจ เดินเล่นรับแอร์เย็นๆ ช๊อปปิ้งคลายทุกข์(หรือยิ่งทุกข์) พอกลับเข้าบ้านหรือกลับไปที่ทำงานในตอนบ่ายก็เครียดและทุกข์อีก เป็นเช่นนี้ทุกวี่ทุกวัน.....สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมคิดว่า ความสงบในจิตใจของคนยังเป็นที่ต้องการมาก จะทำอย่างไรให้มีสถานที่ที่คนสามารถไปนั่งสงบสติอารมณ์ นั่งสมาธิได้โดยสะดวกในชีวิตประจำวันได้

เมื่อนึกถึงเรื่องโบสถ์ฝรั่งดังกล่าวมาแล้วจึงเกิดความคิดว่าในบ้านเราน่าจะมีสถานที่ที่คนสามารถไปนั่งรับแอร์เย็นๆ ในบรรยากาศที่สงบเงียบ สามารถนั่งสมาธิ สงบจิตใจได้โดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องความปลอดภัยหรือถูกเรี่ยไรให้ต้องทำบุญ และโดยเฉพาะหากอยู่ในเส้นทางที่ทุกคนใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวันเช่น ในห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัยที่มีมากมายทั่วกรุงในปัจจุบันนี้ หากมีการจัดห้องดังกล่าวให้สาธารณชนได้เข้าไปใช้ ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะคนในเมืองหลวงที่ต้องอยู่กับการทำงานที่สำนักงาน มีความเครียดความทุกข์ก็ไม่รู้จะไปหาสถานที่แบบนี้ที่ไหน ดังนั้น หากห้างสรรพสินค้าดังๆ จะริเริ่มจัดทำห้องแบบนี้ไว้บริการลูกค้าโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ก็จะดีมาก

เนื่องจากเป็นห้องที่ต้องการให้คนมาสงบจิตใจเพื่อจะได้คลายเครียดคลายทุกข์ความวุ่นวาย โดยเฉพาะช่วงกลางวันพักเที่ยง ทานอาหารแล้ว ก็มาใช้สถานที่นี้สำหรับการพักใจ ออกไปจากสถานที่นี้ จะได้สบายใจ มีกำลังมีพลังพร้อมที่จะไปทำงานต่อ และตอนเลิกงานตอนเย็นก็สามารถมาแวะสถานที่น้ได้อีกก่อนกลับบ้าน ผมก็มองว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนเมืองที่นิยมเข้าห้างกันอยู่แล้ว แต่คราวนี้จะได้ประโยชน์มากขึ้นกว่าการช๊อบปิ้งอย่างเดียว ได้พลังใจกลับไปด้วย

สถานที่นี้อาจเป็นห้องโล่งๆ ปูด้วยหินอ่อน มีพระพุทธรูปตั้งเป็นประธานสำหรับการกำหนดนิมิต มีแอร์เย็นสบาย ไม่มีเสียงรบกวน มีคนดูแลเพียง 1 คนที่ไม่ต้องไปวุ่นวายกับคนที่เข้ามาใช้บริการแต่มีเพื่อดูแลความเรียบร้อยเท่านั้น โดยมีคาวนเตอร์รับฝากของให้เสร็จ อาจตั้งชื่อห้องแบบนี้ว่า “พิมาน”หรือ “วิมาน” วัตถุประสงค์คือเป็นสถานที่ทำใจให้สงบและสบาย...เท่านั้นเอง

ผมจึงคิดว่า “พิมานในห้าง” น่าสนใจ หากเจ้าของห้างสรรพสินค้าใดต้องการสร้างบุญกุศลให้คนหมู่มาก ก็ลองคิดทำสิ่งนี้ น่าจะเป็นวิธีหนึ่งครับ.....ก็แค่คิดนะครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ 

 

หมายเลขบันทึก: 451268เขียนเมื่อ 28 กรกฎาคม 2011 18:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

Ico24 Poo .

ขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจครับ

เปรียบไป การให้มีสถานที่ปฏิบัติในเมือง กลางเมืองเช่นในห้างสรรพสินค้านี้ ก็เหมือน"หลุมหลบภัย" นั่นเอง แต่เป็นทางใจ ภายนอก หากมีควมขัดแย้งกันหรือสงครามกัน ก็จะมีหลุมหลบภัยให้ประชาชนลงไปหลบลูกระเบิดหรือจากปืนใหญ่ นี้เป็นการหบลภัยทางกาย .........หลุมหลบภัยทางใจสาธารณะ คนในสังคมต้องช่วยกันสร้างขึ้นมา ให้คนสามารถไปหลบภัยได้สะดวกรวดเร็วในทุกวัน เพราะมีภัยทางใจทุกวันและรอบตัว

เจริญสุขวันศุกร์ครับ

  • อ่านแล้วคิดตาม  เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ
  • วัดหลายแห่งมีปัญหาเรื่องความสะอาด  เข้าไปแทนที่จะรื่นรมย์กับหดหู่
    มีแต่มูลนกพิราบเต็มไปหมด
  • ปัจจุบันมีวัดร้างกว่าเจ็ดพันวัดเพราะผู้คนมุ่งสร้างวัตถุแต่ลืมแสวงหา
    ความสุขที่แท้จริงซึ่งค้นพบที่ใจตน
  • ขอบพระคุณบันทึกดี ๆ ที่น่านำไปสร้างในโรงเรียน  ตลอดจนสถานที่ราชการต่าง ๆ
Ico48

 

ขอบคุณครับที่แวะมาทักทายกันและแสดงความเห็น

สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ที่ผ่านมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสดงให้เห็นแต่ความเจริญของวัตถุครับ ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกประเทศมุ่งหวังที่จะพัฒนาสังคมของตนให้ไปถึงจุดนั้น แม้จะต้องเสี่ยงกับความเสื่อมด้านสิ่งแวดล้อม และโดยเฉพาะจิตใจ จากภัยทางหูตา จมูกลิ้นกายใจที่แฝงไปด้วยทุนนิยม

ความขัดแย้งในเวทีระหว่างประเทศ แม้กระทั่งภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบนโลก ย้อนดูเหตุแล้ว ปรากกว่ามนุษย็เป็นผู้กระทำทั้งนั้น

ดังนั้นจึงต้องย้อนไปดูข้างในจิตคนที่เป็นต้นทาง ก็จะพบว่าสิ่งแวดล้อมในสังคมปัจจุบันนี้ มิได้ให้ความสำคัญกับการหล่อหลอมจิตให้มั่นคง สงบและหนักแน่นเพื่อที่จะต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่ได้

พวกเราในสังคม ไม่ว่าภาครัฐ เอกชนจึงควรตระหนักถึงปัญหานี้ การช่วยจิตใจคนให้สงบเป็นเรื่องของสาธารณะ เป็นเรื่องที่จะส่งผลต่อส่วนรวมเพราะครอบครัวไม่เข้มแข็งพอ วัดและพระไม่มีบทบาทพอ ดังนั้นจึงอยู่ที่สถานที่สาธารณะเช่นที่ว่านี้ ที่จะช่วยจิตใจของคนทั่วไปได้บ้าง ผมใช้คำว่าที่หลบภัย(ทางใจ)สาธารณะ ซึ่งมีความจำเป็นมากครับ

ก็เพียงหวังว่าความคิดนี้จะมีโอกาสเป็นจริง ใครใกล้ที่ไหน ก็ไปใช้ที่นั้นเพื่อจะมีพลังในการดำรงชีวิตในทุกวัน

นึกไปแล้วในสมัยพุทธกาล ชาวแค้วนกุรุล้วนมีการเจริญสติทุกครัวเรือนและทุกคนเป็นปรกติ ยามออกจากบ้านต้องเจริญสติบทใดบทหนึ่ง หากใครลืมจะต้องกลับไปบ้านเพื่อเจริญสติก่อนทุกครั้ง....แสดงให้เห็นว่าการเจริญสติจำเป้นสำหรับชีวิตประจำวัน สังคมจะช่วยกันได้ก็อยุ่ที่การสร้างสถานที่แบบนี้ให้เป็นที่สำหรับคนมาเจริญสติ สังคมจะเข้มแข็งขึ้นครับ

 

ในโรงพยาบาลก็น่าจะมีห้องสำหรับสงบจิตใจ

ห้องพัก ที่มีแอร์ แต่คนเข้าไปคุยกันเรื่องหุ้น เรื่องบ้าน เรื่องมือถือ

พักได้แต่กาย ใจมิได้พักคะ

ไม่น่าจะยากเกินไป..

ขอบคุณมากคะที่จุดประกาย ด้วยความคิดดีๆ

Ico48

สวัสดีครับ

สิ่งแวดล้อมในสังคม(ของทุกประเทศ)กำลังมีภัยมากกว่าที่ปลอดภัย สงบร่มเย็นครับ เพราะล้วนไม่มีที่หลบภัย ทำจิตใจที่สะดวก

ชีวิตไม่มีเวลาว่างเพราะถูกการจัดการของสังคมวัตถุนิยมที่มีจุดมุ่งหมายให้เพิ่มกิเลส ทำให้จิตไม่ได้มีเวลาพักผ่อนเพิ่มพลัง

ผลก็คือจิตที่อ่อนแอ ไม่สมดุลย์ ขาดพลัง เหมือนคนป่วยครับ

ในโรงพยาบาลสมควรมีอย่างยิ่งครับ ถ้าจะว่าไปแล้ว การใช้พลังจิตก็เป็นการรักษาตรงชนิดหนึ่งใช่ไหมครับ หากเราเชื่อว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว รักษาจิตก็คือรักษากาย

ในอินเดีย ผมคิดว่าครอบครัวชาวอินเดียเข้มแข็งมาก เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คนอินเดียมีพลังในการก้าวไปข้างหน้า น่าสนใจครับ

*** "การเจริญสติจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน สังคมจะช่วยกันได้ก็อยู่ที่การสร้างสถานที่แบบนี้ให้เป็นที่สำหรับคนมาเจริญสติ สังคมจะเข้มแข็งขึ้น"

*** เคยสังเกตว่าหอพระ และพระพุทธรูปที่สร้างอยู่ทุกโรงเรียนนั้น นักเรียนจะไหว้ตอนหลังเคารพธงชาติเท่านั้น...ช่วงเวลาอื่นถ้าเดินผ่านเข้าออกก็ไม่ได้เจริญสติด้วยการยกมือไหว้ ถ้าฝึกให้เคารพได้ น่าจะช่วยเจริญสติได้นะคะ

Ico48

สมัยก่อนเวลาจะหลบร้อน คนก็จะใช้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่หลบร้อน มีลมพัดสบายพอคลายความร้อนกายได้ หรือไม่ก็หลบร้อนใจไปวัด ก็จะไปตามศาลาหรืออุโบสถซึ่งมีลมพัดเย็นสบายเพราะสร้างเพดานสูง มีช่องลม

แต่ในปัจจุบันนี้ คนตัดต้นไม้กันมาก หาร่มไม้ก็ยากเต็มที ในวัดก็ไม่ร่มรื่นเหมือนก่อนเพราะตัดต้นไม้กันหมด เทปูน สร้างสิ่งก่อสร้างจนไม่มีน้ำหรือร่มเงา ศาลา อุโบสถก็ไม่สงบเงียบเหมือนเดิม......

คนไทยอยู่เมืองร้อนชอบอากาศที่เย็นสบายกาย ช่วยให้คลายร้อนได้ สถานที่เหมาะสำหรับคนมานั่งสงบจิตใจจึงมักจะนิยมมีแอร์เย็นสบายเป็นหลัก คนถึงได้นิยมไปห้างเพราะไปรับแอร์

แนวคิดพิมานจึงต้องการให้มีสถานที่สัปปายะสำหรับคนไทย จะทำให้อยากมาพักกายเพื่อได้พักใจด้วย ส่งผลดีโดยรวม

ก็ช่วยกันคิดครับ ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันครับ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท