งาม ดี จริง


งาม ดี จริง

เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ เป็นปาฐกถางาน HA regional forum ที่รร.โลตัส ปางสวนแก้ว เชียงใหม่ หัวข้อเรื่อง Humanized Health Care งาม ดี จริง เนื้อหาหลักได้มาจากหนังสือ Integral Spirituality ของ Ken Wilber รายละเอียด ผมเป็นคนขยายความ ตีความเอง

มิติการรับรู้ของคนเรานั้นมีอิทธิพลต่อโลกภายในและภายนอกอย่างเกี่ยวเนื่องเชือมโยง แยกไม่ออก (Goethe) กระนั้น การนำเอามิติแต่ละมิติมาพิจารณา เพื่อหาพิสัยที่ถูกอิทธิพลหรือผลกระทบหลักจากแต่ละมุมมอง ก็มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง

ฉัน หรือ "I"

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรื่องราวมองจาก "มุม" มอง ของฉัน และ เพื่อฉัน?เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นเพื่ออะไร และจะไปในแนวทางใด? สิ่งที่จะทำ เพื่อฉัน นั้น ลงเอยก็เพื่อความรู้สึกสบาย สุนทรีย์นั่นเอง กิจกรรมมากมายที่สร้างสรรค์มา และทำโดยปราศจากเงื่อนไขภายนอก ผลักดันโดยภายใน ขั้นต้นคงจะเป็นเพื่อการอยู่รอด มีชีวิต แต่หลังจากนั้น ถ้ามีแต่เราเพียงคนเดียว อารมณ์ หรือสมองชั้นกลาง ที่พัฒนามา ก็จะมีจุดมุ่งหมายไปที่ความสงบ ความสบาย ความสุนทรีย์ สิ่งเหล่านี้พัฒนาต่อไปกลายเป็น ศิลปะ นั่นเอง

เธอ หรือ "You"

สิ่งที่น่าสนใจมากประการหนึ่งก็คือ "โลกนี้ไม่มี ความดี ถ้าไม่มี เธอ"

ความดีเป็นคุณภาพที่เกิดขึ้นเมื่อมีบุคคลที่สอง ที่สาม มาเพิ่มเติมกับบุคคลที่หนึ่งเท่านั้น ตอนที่เราอยู่คนเดียว จะทำอะไร ก็ยังไม่เกิดความดีขึ้นมา และมองให้ระดับสูงขึ้น วิชาที่ว่าด้วยความดี อาทิ มารยาทสังคม จริยศาสตร์ จริยธรรม จรรยาบรรณ คุณธรรม ฯลฯ ต่างๆนั้น จะเกิดขึ้นต่อกับ การมีอยู่ของ "เธอ" เท่านั้น และเมื่อบุคคลที่หนึ่ง เริ่มทำอะไรเพื่อ "เธอ" นอกจากเกิด "ความดี" ขึ้นมาแล้ว สิ่งมหัศจรรย์อีกประการก็คือ การหล่อหลอม "เธอ" กลายเป็น "เรา"

จากมีเธอ มีเรา เกิดเป็นประเพณี วัฒนธรรม culture สังคมที่สานเชื่อมโยง และสามารถคงอยู่ sustain และมีภูมิคุ้มกัน เกิดความเข้มแข็ง เกิดการถักทอของใยสังคม fabric of society ที่สวยงามมั่นคงขึ้น

มัน หรือ "it"

ทั้งหลายทั้งปวง ที่ไม่ใช่เธอ ไม่ใช่ฉัน เป็นสิ่งแวดล้อมที่เรารับรู้ สังเกตได้ คือ ข้อเท็จจริง ความเป็นไป ของสิ่งแวดล้อมทุกอย่างนั้นเอง การสังเกต รวบรวม และบันทึกความเชื่อมโยง ความสัมพันธ์เหล่านี้ เกิดเป็น "ศาสตร์" หรือ องค์ความรู้ หรือว่าด้วย "ความจริง" นั่นเอง วิชาต่างๆทั้งหมด การแพทย์ สังคมศาสตร์ กฏหมาย วิศว วิทยาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ฯลฯ

โลกทั้งโลก ของปัจเจก หรือของสังคม ชุมชน ก็จะขึ้นอยู่กับ "สมดุล" ของ ฉัน เธอ มัน หรือ ความงาม ความดี และความจริง

ถ้าสมดุลเอียง ก็จะเกิดผลตาม เช่น ถ้าเอียงไปทางการทำเพื่อ "ฉัน" มากๆ ก็คือการเห็นแก่ตัว การเอาตัวรอดเพียงผู้เดียว หรือเผ่าเดียว ชุมชนเดียว ถ้าเอียงไปทางเพื่อ "เธอ" ก็จะขาดการดูแลตนเอง ไม่ได้ดูแลสุขภาพ ไม่ขวนขวายพัฒนาตนเอง และไม่ว่าจะทำเพื่อฉัน หรือเพื่อเธอ ถ้าขาดองค์ความรู้ ความเข้าใจเบื้องต้นของสรรพสิ่งต่างๆที่แวดล้อมตัวเรา คือไม่มีศาสตร์ หรือไม่ทราบ "ความจริง" กิจกรรมนั้นๆก็จะคลอนแคลนไม่มั่นคง เป็นต้น

ที่น่าสนใจก็คือ การต่อเนื่องเชื่อมโยงทำให้เกิดมิติใหม่จากมิติเก่าได้

เช่น การเราทุ่มเทเวลาศึกษา "ความจริง" ในศาสตร๋ด้านต่างๆ (IT or TRUE) เพื่อนำมาช่วยเหลือคนอื่นๆ (YOU and become US or GOOD) สิ่งที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็น ความงามภายในของฉัน (I or BEAUTY)ไปได้อย่างน่ามหัศจรรย์ 

นอกจากนี้ ยังมี shade หรือ stage ของความต่อเนื่องเชื่อมโยงนี้อีก เช่น การทำความดี เปลี่ยน you เป็น us เกิดชุมชน เกิดเป็นประเทศขึ้น แต่ก็ยังเป็นกลุ่มก้อน ยังมีแบ่งเขา แบ่งเรา ยังมีชุมชนอื่น ยังมีประเทศอื่นอยู่ ที่ไม่ใช่ one of us

ถ้าจะเปลี่ยนระดับ ต้อง upgrade จาก us ไปเป็น ALL OF US

ALL OF US นั้นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง รวมไปถึงสิ่งแวดล้อม แม่น้ำ ภูเขา มหาสมุทร อากาศ เมื่อนั้นสภาวะจิต หรือระดับจิตร่วมก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียว เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยง เป็นองค์รวมแท้จริง real wholistic

 

หมายเลขบันทึก: 113757เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2007 12:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:11 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

สวัสดีค่ะอาจารย์หมอPhoenix  

อ่านบันทึกแล้วไม่รู้ทำไม คิดถึงแต่ชื่อหนังเรื่อง Me, Myself, and I ค่ะ ^ ^ สงสัยเพราะคิดว่าคนส่วนใหญ่จะติดอยู่ที่ตรง me, myself, and I มากที่สุดน่ะค่ะ การพัฒนาให้มีความคิดเป็น us และ all of us ก็คงต้องพยายามกันต่อไปค่ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆค่ะอาจารย์

รู้สึก ... ดี ... จริง ... ที่ได้อ่าน

 เมื่อปีก่อนยังรู้สึกว่า "ทำไม"  การอธิบายเรื่องความจำเป็นของการ - การทุ่มเทเวลาศึกษา "ความจริง" ในศาสตร์ด้านต่างๆ (IT or TRUE) เพื่อนำมาช่วยเหลือคนอื่นๆ (YOU and become US or GOOD) - มันจึงช่างยากเย็นต่อการเข้าใจของคนบางคนเสีย .. จริง..

แต่ในที่สุด  ... เวลา ... ก็แก้ปัญหาของมันเอง ... อีกครั้ง และการที่รู้สึก .. ดี .. ครั้งนี้ก็เกิดจากการที่ทราบว่าอาจารย์ Phoenix ได้กรุณาอธิบายด้วยตนเองทีเดียว

 

ในบทคำนำของ พระไพศาล วิสาโล ที่เขียนไว้ในหน้าที่ 9  ของหนังสือ "อยู่กับมาร" โดยสตีเฟน แบท์ชเลอร์ กล่าวไว้ว่า

"มารนั้นเฉลียวฉลาดอย่างยิ่งใช่ว่าจะรู้ทันกันได้ง่ายๆ มารที่เป็นความชั่วร้ายนั้นดูออกไม่ยาก แต่มารที่มาในรูปของความดีต่างหากที่น่ากลัวยิ่งกว่า  ทันทีที่เราไปยึดติดกับความดีก็ตกอยู่ในอำนาจของมารทันที เพราะอาจทำให้เกิดความหลงตนหรือทำร้ายผู้อื่นในนามของความดี  ดังสงครามเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในนามของพระเจ้า ศาสนา และอุดมการณ์อันสูงส่ง"

อาจารย์มีความเห็นอย่างไร ... ต่อข้อขัดแย้งที่นำมาไว้ข้างต้นนี้คะ

 

 

ไม่เห็นความขัดแย้งอะไรนะครับ

ที่จริงใช้คำว่า - ความแตกต่าง - น่าจะสื่อความหมายได้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการถามมากกว่า

อาจารย์พอจะเห็น -ความแตกต่าง- บ้างมั้ยคะ?

หนูว่าจะลองเดาใจดูทีว่า ...  อาจารย์คงจะตอบว่า ... ไม่เห็น ... ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าเสียดาย โอกาสที่จะเติมความรุ่มรวย ที่สวยงามของการอยู่ร่วมกันระหว่างคนที่มีความคิดเห็นต่างกัน

จากที่มาเดิม .. อยู่กับมาร .. พระพุทธองค์เอาชนะมารด้วยการ "รู้ทัน" มัน หากมารมองเห็นพระพุทธองค์อย่างชัดเจนก็เมื่ออยู่ในตำแหน่ง "ตรงกันข้าม"   .... น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับการยืนอยู่ในตำแหน่งที่จะทำให้เรามองเห็นอะไรๆ ได้ชัดเจนขึ้น กว่าที่เคย

PS. หนูล่ะเบื่อจะแก้ตัวว่า "ไม่ได้เป็นลูกรักของอาจารย์"  Phoenix เต็มที ... อาจารย์มีคำแนะนำอะไรดีๆ สำหรับกรณีที่จะเกิดต่อไปบ้างมั้ยคะ นอกจากบอกเค้าว่าอาจารย์มีลูกแล้ว 2 คน และคนโตอายุยังไม่ถึง  15 ส่วนหนูจะ 30 อยู่ไม่กี่เดือนแล้ว

แนะนำว่าทำบุญเยอะๆครับ

สักวันหนึ่ง เราจะได้เลิกคิดว่าตนเองรู้ หรืออ่านความคิดคนอื่นได้ และหันมาสนใจกับความรู้สึก ความทุกข์ของตนเองอย่างแท้จริง ถึงตอนนั้น เราจะได้สามารถสัมผัสถึงสาระของอาชีพของเรา ว่า ณ เวลานี้ อะไรคือสิ่งสำคัญที่จะทำ

เอ่อ... เรา .... ที่อาจารย์หมายถึงคือ หนู Lucifer กับ อาจารย์ Phoenix หรือ All of us คะ?

 

หนูไม่แน่ใจว่า การสนใจกับความรู้สึก ความทุกข์ของตัวเอง อย่างแท้จริง กับการ หมกมุ่น อยู่แต่กับเรื่องของตัวเอง นี้มันมี falcrum อยู่ที่ตรงไหน

 

 ...หรือว่าหนูดูเหมือนเป็นคนที่มีความสนใจกับความรู้สึก ความทุกข์ของตัวเองน้อยไป ... หรือคะ ... 

อาจารย์จึงได้แนะนำให้หนูสนใจเรื่องความรู้สึก ความคิด และ "ที่มา ของ what are you doing,why?" ของคนอื่น ให้น้อยลง 

 

เป็นอิสระเต็มที่ในการตีความครับ

ก็เห็นว่าจะ... งามดีจริง ...ค่ะ

เมื่อพระพุทธองค์ถูกมารตามรังควาน ไม่มีวิธีการใดที่ดีไปกว่าการรู้เท่าทันกลอุบายของมาร ... เพียงแต่รู้ทันมันเท่านั้น มารก็มิอาจทนอยู่ได้ ... ในที่สุดมันก็จะเบื่อหน่ายและจากไปเอง ....

 

รูปสวยดีนะคะ ... a fairy up the cloud นศพ. and the earth

สวัสดีค่ะ

อ่านด้วยความ...สงบสุขในใจค่ะ

คนไม่มีรากเชื่อว่า...มนุษย์ถ้ายังออกไปพ้นจาก...ตัวเองแล้ว ก็คงเวียนวน อยู่กับความคิดต่าง ๆ ไปได้เรื่อย ๆ  มองไม่เห็นคนอื่น สิ่งอื่น เรื่องอื่น....

น้อมรับความคิดอันงดงามและเปี่ยมสาระของอาจารย์ค่ะ.... 

ALL OF US นั้นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง รวมไปถึงสิ่งแวดล้อม แม่น้ำ ภูเขา มหาสมุทร อากาศ เมื่อนั้นสภาวะจิต หรือระดับจิตร่วมก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียว เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยง เป็นองค์รวมแท้จริง real wholistic

                              (^___^)

      สำหรับผม    เวลาอยู่ในหมู่ผู้คนมากมาย  ถ้ารู้สึกหมั่นไส้ใครขึ้นมา  แสดงว่า "สมดุลเริ่มเอียง" แล้วครับ 

       เวลาสมดุลเอียง  ผมก็จะกลับมาดูแลตัวเอง  กลับมาอยู่กับ  "ฉันหรือ I" ให้มากขึ้น  ออกมาจาก "ตัวเธอหรือ You" สักระยะหนึ่งก่อน

      เมื่ออยู่กับตัวเองได้สักระยะ  จนรู้สึกคลายความหมั่นไส้ลงมาบ้าง  จึงค่อยออกไปอยู่กับ "ตัวเธอหรือ You" ค่อยๆ ฟังเขาได้มากขึ้น  ค่อยๆ ปรับสมดุลไป

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท