สุขสังคม (Social Happiness)
ความสุขนั้นหนอ คืออะไร…?
ชีวิตที่ผ่านมานั้นสิ่งที่เราเคยเรียกว่า “สุข” นั้นใช่ “ความสุข” หรือไม่...?
และความสุขที่เราได้พบและสัมผัสขณะนี้ล่ะ..............
อิ่มสุข อบอุ่น และอิ่มอุ่น
ความสุขแบบนี้เราเคยได้รับจากใครหนอ...
“แม่และพ่อ”
เมื่อครั้นที่เราอยู่ในท้อง เกิดมาอยู่ในอ้อมกอด โตขึ้นมาได้สองมือ และ “หัวใจ” ที่อุดมไปด้วยความรัก.... เป็นสุขที่ “อิ่ม” และเอมใจหาใดเปรียบปราณ
ความสุขที่ถูกถักทอและห่อหุ้มจากดวงจิตและหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักจากผู้หญิงคนหนึ่งและคนเดียวในชีวิตที่เราเรียกว่า “แม่” เป็นความสุขที่ทรงคุณค่าเปรียบเสมือนน้ำทิพย์ที่คอยชุบและชะโลมชีวิต “ลูก” ให้ยืนหยัดอยู่ได้ในสังคมที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายแห่งนี้
รวมถึงยังมีผู้ชายอีกคนหนึ่งที่เปรียบเสมือนผู้หญิงเบื้องหลัง คอยปกป้องดูแลความปอลดภัยให้ทั้งแม่และลูก ใช้กำลังกายและพลังใจทำงานหางานอาบเหงื่อต่างน้ำ ให้ได้มาซึ่งปัจจัย ๔
อาหารที่ทำให้ร่างกายดำรงอยู่ซึ่งความเป็นมนุษย์
ที่อยู่อาศัยที่ปราศจากเหลือบ ยุง ลิ้น ไร และลม แดด
เครื่องนุ่งห่มที่สมกับวัยและฐานะ
ยารักษาโรคเตรียมพร้อมที่จะบรรเทายามเมื่อลูกเจ็บป่วย
สังคม (Social) เป็นการรวมตัวกันของคน หรือสัตว์ หรือสรรพสิ่ง อยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน แล้วทำไมสังคมในปัจจุบันจึงไม่เป็นเหมือนสังคมของเราพ่อแม่ลูกล่ะ? ความสุขในสังคมนี้ขาดสิ่งใดไป ความสุขในสังคมนี้บกพร่องตรงไหน แล้วทำไมสังคมนี้จึงไม่สงบและสุข.....
“แม่ แม่พระ พระแม่”
“พ่อ พ่อพระ พระพ่อ”
ความถักทอ เกาะเกี่ยว เชื่อมโยงกันระหว่างกายและจิต ระหว่างใจต่อใจ ระหว่างกายต่อกาย สิ่งที่เชื่อมผสานกันของความรักที่ยิ่งใหญ่ ประเสริฐ และบริสุทธิ์ ความสุขจากความรักที่เป็นพื้นฐานที่แข็งแรงและมั่นคงแห่งจิต ความสุขจากความรักที่เปรียบเสมือนเสาเข็มและฐานรากที่แข็งแกร่งแห่งกายความรักที่ลูกได้จากพ่อและแม่ โดยพ่อและแม่มีพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน เป็นเสาเข็มแห่งจิตและกาย ทรงคุณค่ายิ่งจริงหนอความรักที่กรั่นออกมาจากพื้นฐานแห่งศีล ซึ่งเป็นศีลแห่งพระธรรม “ศีลธรรม” นำจิตสุขความรักที่กรองเภทภัยอันตราย ความลุ่มหลงมัวเมาด้วยศีลธรรม นำชีวิตสว่างและสดใส
ความรักที่อยู่บนพื้นฐานแห่งความถูกต้องมากกว่าถูกใจ ช่วยสังคมรอดพ้นจากภัยและอุปสรรคใด ๆ ที่แผ้วพาน
ความสุขที่เกิดจากความรักที่อยู่บนฐานแห่งศีลและธรรม จึงเป็นความรักที่นำความสุข มาสุขแท้มาสู่จิตใจของพุทธศาสนิกชนได้ฉันใดความสุขที่เกิดจากความรักที่อยู่บนฐานแห่งศีลแลธรรมอย่างที่พ่อแม่มีให้กับลูกนั้นนั้น จะนำความสุขแท้ที่ยั่งยืน มาสู่สังคมที่ไม่ว่าจะยุ่งเหยิงและสับสนเพียงใดได้ฉันนั้น.....
๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
นำ code กล่อง medition song มาฝากครับผม
http://gotoknow.org/blog/awakened
copy ไปใส่ในส่วนของ รายละเอียดบล็อก ได้เลยครับ
นมัสการพระคุณเจ้า...
ตามมาชื่นชมมุมคิดของพระ...
ครับผม
ขอถามท่านว่าเมื่อพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้วจะเป็นยังไงต่อไปครับ
1. วัดยังปั๊มจตุคามมอมเมาประชาชนต่อไปหรือมากขึ้นหรือเปล่า
2. พระจำทำContract กับร้านข้าวแกงที่ตลาดมากขึ้นหรือเปล่า
3. อาชีพพระจะมั่งคงขึ้นจากเงินบริจาคหรือเปล่า
เมื่อ อา. 29 เม.ย. 2550 @ 14:58 [242509]
เมื่อ อา. 29 เม.ย. 2550 @ 15:25 [242546]
เมื่อ จ. 18 มิ.ย. 2550 @ 13:36 [296478]
ผมว่าหากท่านอ่านข้อความของคุณสมพรดีๆแล้ว น่าจะทำให้พวกท่านบรรลุได้บ้างนะครับ
ท่านจะเอาศาสนาอื่นไปไว้ที่ไหนล่ะครับ....ควรจะระลึกด้วยว่าคนอื่นๆเขาก็ต้องการจุดยืนครับ
ลองอ่านบทความของท่านดีๆสิครับ ว่าสับสนแค่ไหน ตกลงจะให้ยึดกาย หรือยึดใจ เป็นที่ตั้งดีครับ???
โลภะ โมหะ โทสะ...ล้วนได้ถูกแปลความไว้ในสิ่งที่กระทำมาทั้งนั้นครับ
ม็อบต่างๆที่กระทำอยู่ในปัจจุบัน คิดหรือเปล่าว่าทำให้คนอื่นเดือนร้อน เช่นผู้ใช้รถใช้ถนน คนฟังข่าวที่ทำให้ไม่สบายใจ ไร้ซึ่งความสมานฉันท์
สังคมไทยตอนนี้ไม่ต้องการคนหัวรุนแรงครับ หากยิ่งเรียนสูงแล้วทำให้หัวรุนแรง ก็อย่าเรียนเลยครับ หาความสงบดีกว่าครับ
เมื่อ จ. 18 มิ.ย. 2550 @ 15:22 [296547]
สวัสดีครับท่านผู้ทรงศีล
แก่นแท้ของศาสนาพุทธ คือแก่นแท้ของความเป็นจริง
ท่านผู้เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ ควรทำเป็นตัวแทนของพระองค์ผู้ทรงศีล
การปล่อยวางหรือไม่วาง ท่านยังจำแนกได้ไม่ชัด การยึดมั่นทางกายทางใจก็ยังไม่มั่น
ศาสนาพุทธเจริญในโลก เผยแผ่ในโลก ไม่ใช่มีแต่เมืองไทย
ตัวแทนพระองค์ควรเด่นชัดในคำสอน
ถ้าท่านเปรียบถึงขั้น "ต้องยึดติดสิ เพราะถ้าไม่มีที่ยืนจะไปยืนที่ไหน ถ้าไม่มีที่นั่งจะให้ไปนั่งที่ไหน ถ้าจะไปต่างจังหวัดไม่ยึดติดก็ไม่ต้องขึ้นรถไปต้องเดินไป ถ้าจะไปเมืองนอกก็เดินไปไม่ต้องขึ้นเครื่องบินไป...... “ยึดมั่นทางกาย แต่ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นทางใจ” "
ท่านควรออกมายืนในที่ที่ควรยืน ไม่ควรยืนในที่ที่ไม่ควรยืน
ถ้าเป็นอย่างท่านต่อไป คงจะต้องไปตั้งพรรคการเมืองจะได้มีที่ยืนที่มั่นคง
ถ้าชาวพุทธต่างคนต่างปล่อยวาง ถือว่าไม่ใช่ธุระ ไม่ใช่หน้าที่ พระก็ปล่อยวาง โยมก็ปล่อยวาง เจ้าหน้าที่ข้าราชการที่เกี่ยวข้องทุกคนก็นิ่งเฉย ศาสนาพุทธคงเสื่อมลงและหมดลงไปในไม่ช้าเพราะภัยอันตรายจากผู้ไม่หวังดี ตั้งใจบิดเบือนคอยทำลายศาสนาพุทธ เพราะประเทศไทยเราถือได้ว่า เป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา เป็นแบบอย่างที่ดี ต่อการประพฤติปฏิบัติ ดังนั้นชาวพุทธควรที่จะร่วมรักษาสิ่งที่ดีงามของประเทศและสังคมไทยนี้ที่มีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน
ท่านเป็นพระ ในโลกของธรรม ภาระหน้าที่ที่จะต้องเป็นสาวกที่ดี ความเจริญของพระพุทธศาสนาที่ถูกบิดเบือน ล้วนเป็นพฤติกรรมที่สงค์ทำทั้งนั้น
พุทธพาณิชย์ กลาดเกลื่อน ใบ้หวย เจิมป้าย ผิดศีล ปั้มพระ สร้างวัด สร้างความเจริญภายในวัด อย่างไม่มีการจำแนก ท่านได้ไปชี้จุดยืนให้เขาแล้วยัง ธรรมะเผยแผ่กระจายสู่ประชาชนได้ถูกต้อง ดีงามแล้วยัง ภานะหน้าที่ที่ต้องทำ กิจของสงค์ท่านทำได้ครบถ้วนแล้วยัง
ถูกต้อง ศาสนาพุทธไม่ได้ผูกขาดของใคร ที่ห่มเหลือง หรือไม่ได้ห่มเหลือง ศาสนาพุทธจะเสื่อมลงหรือไม่เสื่อมลง คือการกระทำของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นตัวแทนของท่านพระพุทธองค์