สวัสดีครับทุกท่าน
มีหลายๆ ท่านเขียนเรื่องภาวะโลกร้อน (กายร้อน ใจร้อน สติปัญญาร้อน) กันนะครับ วันนี้ผมจะย่อยแบบชาวบ้านๆ นะครับ มาลองดูกันว่าเราจะเข้าใจกันแค่ไหน เอาเท่าแค่ที่ปัญญาผมพอจะมีนะครับ....
ลองอ่านได้จากการค้นที่นี่นะครับ โลกร้อน
โลกและดวงอาทิตย์ สัมพันธ์กันอย่างไร
เรายืนอยู่บนโลกตอนนี้ มองไปยังดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์ ก็ได้ครับ หรือว่าดวงดาวก็ได้ครับ โลกเราตัวเราจะได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานความร้อน ส่งมายังโลกและที่อื่นๆ ครับ ความร้อนที่ส่งมานั้นไม่ใช่แค่ความร้อนอย่างเดียว แต่จะมีพวกรังสีอุลตร้าไวโอเลตมาด้วย ความร้อนที่โลกได้รับแต่ละวัน ก็จะมีการสะท้อนกลับออกไป โดยพื้นดินจะสะท้อนกลับขึ้นไปได้ง่ายกว่า ทะเล โดยเฉพาะกลางวัน พื้นดินจะเก็บความร้อนได้น้อย ก็จะสะท้อนความร้อนขึ้นไป (เหมือนเราเคยขับรถบนถนนลาดยางจะเห็นไอร้อน บนถนน เหมือนว่าถนนกำลังถูกย่างอยู่ใช่ไหมครับ) กลางวันแผ่นดินจะคายความร้อนมากกว่าทะเลทำให้เกิดลมทะเล ส่วนทะเลจะคายความร้อนในตอนกลางคืน จะทำให้เกิดลมบก (ลมทะเลลมจะพัดจากทะเลสู่แผ่นดิน ส่วนลมบกจะพัดจากบกสู่ทะเล) การที่อุณหภูมิสองที่ไม่เท่ากัน อากาศจะเคลื่อนที่จากเย็นไปยังทางร้อนกว่า ทำให้เกิดลมนั่นเองครับ
คราวนี้จากที่เรายืนอยู่มองไปยังดวงอาทิตย์ นั้นจะมีช่วงหนึ่ง เป็นชั้นโอโซน ชั้นนี้จะทำหน้าที่ในการปกป้องโลก กรองรังสีอุลตร้าไวโอเลตนั้นไม่ให้ถูกส่งมายังโลกมากเกินไป หากเราได้รับรังสีนี้มากๆ ก็เป็นมะเร็งผิวหนัง และโรคอื่นๆ ตามมาได้ครับ
คราวนี้ชั้นโอโซนจะห่อหุ้มโลกใบนี้ไว้ เพื่อทำให้โลกใบนี้อยู่อย่างสมดุล ตามระบบที่พระเจ้า หรือธรรมชาติสร้างเอาไว้ให้แล้ว
โลกเองจะหมุนรอบตัวเอง โดยใช้เวลา 24 ชั่วโมงจึงจะครบหนึ่งรอบที่เราเรียกว่าหนึ่งวัน และใช้เวลา 365-366 วันถึงจะหมุนรอบดวงอาทิตย์ได้หนึ่งรอบ ที่เราเรียกว่าหนึ่งปี และดวงจันทร์เองก็จะหมุนรอบโลกเราใช้เวลาประมาณ 30 วันถึงจะครบหนึ่งรอบที่เราเรียกว่า หนึ่งเดือน
โลกร้อนเกิดได้อย่างไร
โลกร้อนเกิดง่ายๆ จากสิ่งใกล้ตัวเรามากที่สุดก็คือ การที่เราหายใจออกมา นี่หล่ะครับ เพราะเราหายใจออกมาเราจะเอาอากาศเสียออกมา ที่เรียกว่า คาร์บอนไดออกไซด์ และหายใจเอาอากาศดีเข้าไปที่เรียกว่า ก๊าซออกซิเจน หนึ่งรอบของการหายใจ ก็คือ หายใจเข้า-ออก นั่นก็คือ เป็นสภาวะสมดุลในการหายใจนั่นเอง และสิ่งมีชีวิตในโลกนี้จะมีการหายใจอยู่ตลอดเวลาครับ
ถามว่า หากปริมาณ ออกซิเจน กับ คาร์บอนไดออกไซด์ ไม่สมดุลกัน เช่น หายใจออกมากกว่าหายใจเข้า จะมีปัญหาเกิดขึ้น ความหมายก็คือว่า หากสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ผลิตอากาศเสียออกมามาก กว่าสร้างอากาศดี ก็จะเกิดการไม่สมดุลเกิดขึ้นทันที ตอนนี้ที่เราเจอคือ ไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตที่หายใจได้ด้วย คนเรายังสร้างเครื่องจักรทั้งหลาย ขึ้นมาเพื่อมาช่วยกันหายใจและสร้างอากาศเสียขึ้นอีกมากมาย เช่น รถยนต์ มอร์เตอร์ไซต์ โรงงานอุตสาหกรรม และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้จะหายใจคายอากาศเสียออกมามากกว่าสิ่งมีชีวิต หรือมากกว่าคนเรามากๆ เลยครับ อากาศเสียเหล่านี้ ก็จะลอยสูงขึ้นไปห่างจากโลก
คราวนี้ เจ้าตัวเทคโนโลยีทั้งหลาย ที่เราผลิตกันขึ้นมาจะมีส่วนในการทำลายชั้นโอโซนที่กล่าวไว้ข้างต้น เช่นการเผาทำลายแผ่นโฟม ส่วนผสมในน้ำยาแอร์ที่ทำให้คนที่อยู่ในห้องเย็นขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งก็จะปลดปล่อยความร้อนออกไป พวกของเสียเหล่านี้จะลอยขึ้นไปทำลายชั้นโอโซนที่ว่านั้นนะครับทำให้เกิดรูโหว่ ในชั้นโอโซน นั่นคือ การเปิดช่องว่างให้แสงอาทิตย์ วิ่งเข้ามายังโลกมากขึ้น นั่นเอง
ต่อมาคือ การที่เราเผาป่า เพื่อเก็บยอดผักหวานป่า ทำไร่เลื่อนลอย ทำลายป่าไม้ โดยไม่มีการปลูกเพิ่ม มันจะเกี่ยวกับโลกร้อนได้อย่างไร เมื่อเกิดการเผาไหม้แล้ว อากาศเสียก็จะลอยสูงขึ้นไป ไม่ว่าจะมาจากการเผาขยะที่บ้าน หรือว่าจากโรงงานอุตสาหกรรม จากบ้านเรา และบ้านคนอื่นๆ ในประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ก็จะลอยสูงขึ้นออกจากผิวโลก ลอยๆ ไปรวมกันเป็นชั้นอากาศเสียนั่นเอง โดยชั้นนี้ จะป้องกันการปลดปล่อยความร้อน ออกไปยังชั้นบรรยากาศชั้นอื่นๆ ทำให้เหมือนโลก ถูกขังอยู่ในถุงพลาสติกนั่นเอง นั่นคือ ได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์ มาแล้ว ประกอบกับความร้อนที่คนสร้างขึ้นอีก ความร้อนเหล่านั้น ก็จะมีพวกอากาศเสียร่วมด้วย ลอยไปค้างที่ชั้นอากาศเสีย แล้วความร้อนก็คายออกไปด้านนอกถุงพลาสติกไม่ได้นั่นเอง การที่เราช่วยปลดปล่อยก๊าซเสียจากโลกก็เป็นการทำให้ชั้นถุงพลาสติกแข็งแรงมากขึ้น นั่นคือ ถุงพลาสติกจะห่อหุ้มโลกรอบทิศทางนั่นเองครับ
แต่ด้วยความฉลาดของธรรมชาติ และโลก เมื่อเกิดความไม่สมดุล เกิดขึ้น โลกร้อนขึ้น โลกก็ต้องปรับตัว เช่น น้ำแข็งที่ขั้วโลกหรือยอดเขาก็จะละลายกลายเป็นน้ำ การเกิดพวกพายุก็จะเกิดง่ายขึ้น ตรงไหนแห้งแล้งมาก ก็อาจจะมีพายุเอาน้ำไปฝากให้ เช่นอีสานบ้านเรา ร้อนมาก แห้งแล้ง ก็จะเอาพายุไปทิ้งให้หายร้อนลงบ้าน อาจจะเอาไปแถมบ่อยๆ หน่อย ก็อาจจะเกิดภาวะอื่นๆ ตามมาเช่นน้ำท่วม สิ่งมีชีวิตก็เกิดปัญหากันตามๆ กันครับ โลกอาจจะปรับตัวเช่น เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟ เพราะในโลกเองก็ร้อนๆ เหมือนกันครับ ต้องปลดปล่อยพลังงานความร้อนเช่นกัน ตรงไหนที่มีเปลือกโลกบางๆ หรือมีจุดอ่อนแอก็จะอาจจะได้รับผลกระทบกันตามลำดับ
แผ่นดินไหวที่พวกเราได้รับกันอยู่ก็เป็นเหตุผลมาจากการปรับตัวของโลกเช่นกัน ดังนั้น หากไม่อยากจะให้โลกนี้ร้อน ก็ต้องเอาลูกบอลออกมาจากถุงพลาสติกนั่นเอง หรือลดการสร้างชั้นพลาสติกนั้นเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ถามว่า เราทำกันอย่างไรได้บ้าง
การเอาลูกบอลออกมาจากถุงพลาสติก หรือทำลายถุงพลาสติก ทำอย่างไร
จะเห็นว่าในเบื้องต้น ปัญหาเกิดจากอากาศดีและเสียไม่สมดุลกัน วิธีการแก้ก็คือ ต้องสร้างอากาศดี เช่นการปลูกป่าไม้นั่นเอง ต้นไม้เป็นผู้สร้างอากาศดี คนเราสร้างอากาศดีเองไม่ได้ ต้องรับจากธรรมชาติ เช่นพืชสีเขียวทั้งหลาย จะมีการสังเคราะห์แสงสร้างอาหารให้กับตัวเองแล้ว ก็ยังสร้างให้กับคนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วยครับ
ผลจากการสร้างอาหารของต้นไม้ จะทำให้ได้อากาศดีออกมาด้วย และอากาศดีนี้ก็จะห่อหุ้มโลกเช่นกัน บริเวณผิวโลกนั่นเอง เพราะว่าอากาศดีจะมีน้ำหนักมากกว่าอากาศเสียนั่นเอง อากาศดีจะอยู่ใกล้กับผิวโลก อากาศเสียจะลอยออกไปจากผิวดิน (เช่นตอนที่เกิดก๊าซพิษ แนะนำให้หมอบราบกับพื้น ก็เพราะเหตุนี้หล่ะครับ ว่าอากาศดีจะมีน้ำหนักมากกว่านั่นเอง)
เมื่อมีการสร้างภาวะสมดุลให้กับโลกมีอากาสดีและอากาศเสียสมดุลกัน ก็จะทำให้โลกสมดุล และไม่ทำให้เกิดรอยโหว่มากขึ้น คงเป็นไปไม่ได้ที่จะขึ้นไปซ่อมชั้นโอโซนให้สมบูรณ์ได้ดังเดิม
จะเห็นว่าเริ่มมีผลิตภัณฑ์ออกมาทาผิวเพื่อป้องกันรังสีจากแสงอาทิตย์นะครับ รังสีนี้จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ หากได้รับมากไปก็จะเกิดปัญหาต่อผิวหนังของคน และระบบอื่นๆ ครับ
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่มีการรณรงค์ให้มีการรักษาสิ่งแวดล้อมก็เพราะว่า เป็นแนวทางเดียวที่จะสร้างให้โลกเข้าสู่สภาวะที่มีอากาศดีและเสียสมดุลครับ
อากาศเสียจริงๆ แล้วก่อนจะลอยขึ้นไป ต้นไม้จะมีการดึงมาใช้ด้วยนะครับ เช่นลมหายใจที่เราหายใจออกไปเป็นอากาศเสียนี้ จะโดนต้นไม้ดึงไปใช้ในการสังเคราะห์แสงหรือสร้างอาหารนั่นเอง แทนที่จะลอยขึ้นไปโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ คนเราหายใจก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป แต่เครื่องจักรจะหายใจก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ออกไป ซึ่งก๊าซเสียนี้จะเป็นอันตรายต่อคนหรือสิ่งมีชีวิตเช่นกันครับ แต่ว่าก๊าซเสียจากเครื่องจักรก็จะขึ้นไปรวมตัวกันเป็นถุงพลาสติกห่อหุ้มลูกบอลนั่นเอง (หรือห่อหุ้มโลกนั่นเองครับ)
การปลูกป่าไม้ เป็นผลดีมากๆ คือ จะสร้างแรงต้านทานไม่ให้พายุเคลื่อนที่ไปได้ไกลเช่นกัน นั่นคือเป็นการแรงเสียดทานให้กับพายุมันตายเร็วขึ้นนั่นเอง หากพัดผ่านมาในพื้นที่นี้ (เริ่มจะเห็นข้อดีของการปลูกป่ามาแล้วใช่ไหมครับ)
หากเราเผาป่าเพื่อรอยอดผักหวานป่า หรือพืชชนิดอื่นหรือครับ หากพายุพัดไปปั๊บ ตกลงบนยอดเขาเกิดน้ำท่วม ฝนตกหนักก็จะชะล้างหน้าดินนั้นลงมาไหลเป็นดินโคลน พาไปยังที่ต่ำๆ แล้วภูเขาหัวโล้นนั้นก็จะเหลือแค่แกนภูเขานั่นเอง จะไปปลูกป่าในตอนหลังก็ปลูกยากขึ้นเพราะมีแต่แกนภูเขาหรือหินทั้งนั้น
.............
แล้วคุณคิดว่าคุณจะช่วยอย่างไรครับ ในชุมชนให้เกิดภาวะสมดุลมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าภาวะโลกร้อนนี้ ทำชุมชนเดียวคงไม่ได้ ต้องทำร่วมกันทั่วทุกที่ผิวโลกเลยครับ แต่การปลูกป่าชุมชนนั้นจะทำให้มีผลกระทบต่อชุมชนก่อนคือ ป่านั้นจะปกป้องชุมชนนั่นเอง ไม่ให้มีภัยอันตรายมากขึ้น
ใครที่มีส่วนทำให้เกิดการทำลายต้นไม้ก็เลิกกลับใจได้นะครับ ไม่สายนะครับ เพราะตอนนี้พื้นที่ป่าเมืองไทยถูกบุกรุกมากๆ เลย โดยส่วนใหญ่เกิดจากทางธุรกิจ และนโยบายรัฐในบางครั้งก็จะมีผลมากๆ ปัญหาคือจะทำอย่างไรให้อยู่บนความพอเพียงนะครับ