พระธรรมชาติ : มนุษย์ – ธรรมชาติ


สวัสดีครับทุกท่าน

        มีโอกาสได้อ่านเจอ ด้วยคีย์เวิร์ด อันหนึ่งคือ  พระธรรมชาติ แล้วเจอบทความนี้ ได้ทั้งจินตนาการ ได้ทั้งสาระ และเปิดสมองให้คิดตาม ทบทวน มองย้อน มองอยู่และ มองไป  เลยนำมาฝากให้อ่านกันนะครับ

หรือติดตามอ่านได้จากต้นขั้วที่ http://phek.svec.go.th/content/human.htm

 


มนุษย์ – ธรรมชาติ

•  พลัง ในตัวมนุษย์มีสุดประมาณนับ แต่มีมนุษย์ไม่กี่คน ที่สามารถค้นพบและนำมันมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด ต่อตัวเองและสังคม

Text Box: วัดเชตวันอันยิ่งใหญ่ เมื่อสมัยครั้งพุทธกาล ถูกสร้างโดยอนาถปิณฑิกะมหาเศรษฐี

•  ขณะ ที่เรารู้สึกอ่อนล้า หมดหวัง หมดอาลัย จงเติม พลังให้กับตนเองทันที ลุกขึ้น หัวเราะ และหยิ่ง ยโส ในความโชคดี ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์

ผู้มีจิตอันประเสริฐกว่าสัตว์อื่น ๆ และโชคดีที่สุดที่ได้พบ

พระพุทธศาสนา

•  บอก ตนเองว่า โชคดีเหลือเกินที่ได้นับถือศาสนาพุทธ อันจะนำพาเราไปสู่การนิพพาน หากเราได้เดินตามรอยพระศาสดาของเรา

•  พลัง ทั้งมวลที่มีอยู่ในจิตมนุษย์ เป็นพลังที่มีความสามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่าง และที่สำคัญที่สุดคือการสามารถเอาชนะมวลกิเลสทั้งหลาย หากเราปฏิบัติ และเดินตามรอยพระพุทธเจ้า

•  จิต ที่มีพลังเกิดจากการฝึกฝน อดทน เด็ดเดี่ยว และมีเป้าหมายชัดเจน ที่จะทำให้ชีวิต รอดพ้นจากความทุกข์ ทั้งปวง การมีความรู้ท่วมหัว เป็นความรู้ในเชิงปริยัติ หากไม่นำมาปฏิบัติ ก็ป่วยการ และไม่มีวันได้พบพานผล ซึ่งเป็นปฏิเวธ อันสงสุดแน่นอน

•  จิต ที่ไม่ได้ฝึกฝน ย่อมตกอยู่ภายใต้ โลกธรรมแปดประการ การไม่สามารถทำให้จิตอยู่เหนือโลกธรรมแปดประการได้ ก็เสมือนเหล่าหนอนที่หลงใหลได้ปลื้มอยู่ในกองอุจจาระ นั่นเอง

 

•  จิต ที่มีพลังย่อมอยู่เหนือโลกียวิสัยทั้งปวง มองทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ธรรมดา จริง ๆ

•  มนุษย์ สามารถรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งปวงได้ด้วย สติปัญญา ความเฉลียวฉลาด ยิ่งจิต สะอาด และบริสุทธิ์ เท่าใด ยิ่งเท่าให้เข้าใจ และเข้าถึงในแก่นสารของสรรพสิ่งทั้งปวง

 

•  พลัง แห่งสมอง ความคิดและสติปัญญา และความเฉลียวฉลาดจะมีคุณค่าไม่ได้ หาก ความฉลาด และสติปัญญาเหล่านั่น มิได้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง และเพื่อนมนุษย์ ความฉลาดและสติปัญญานั้นคงไม่แตกต่างไปจากเศษขยะ

•  จง หาตัวเองให้เจอ ก่อนที่ตัวเองจะแก่ชรา มรณะมาถึง เพราะเมื่อนั้นจะหาสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เป็นแก่นสารได้จากที่ใดเล่า

•  ใน โลก แห่งความรุนแรง โหดร้ายทารุณ การแข่งขันที่เอาเป็นเอาตาย ไม่มีสิ่งใดดีเท่ากับการที่เราหยุดคิด ตรึกตรอง มองดูเขาเหล่านั้นด้วยความเมตตา สงสาร เวทนาในการดิ้นรนขวนขวาย และถูกเผาไหม้ ด้วยกิเลส และเพลิงทุกข์ – อนิจจา

 

•  ธรรมชาติ ไม่เคยเรียกร้อยสิ่งใด ร้อน ก็อยู่ตามประสาร้อน หนาวก็อยู่ตามประสาหนาว แน่นอนธรรมชาติ มีการปรับตัวเพื่อการอยู่รอด ต้นไม้เมื่อรู้ว่าตนเองอย่างเข้าสู่วัยกลาง และวัยสูงก็ต้องรู้ว่าตนเองต้องจากไป จะมีการออกดอกออกผล เพื่อให้เกิด เผ่าพันธุ์ สืบต่อไป ..... มนุษย์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และพฤติกรรมอย่างนี้ของมนุษย์ ก็ถูกธรรมชาติ เสกสรร ไว้ให้แล้วอย่างลงตัวที่สุด

•  พระเจ้า ที่แท้จริง คือพระธรรมชาติ พระเจ้าที่แท้จริง คือกฎเกณฑ์ของพระธรรมชาติ พระเจ้าที่แท้จริงคือผลที่จากพระธรรมชาติประทานมาให้ และพระเจ้าที่แท้จริง หนีไม่พ้น การเปลี่ยนแปลงที่มีการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พระเจ้าที่แท้จริง คือ พระอนิจจัง พระทุกขัง และพระอนัตตา

•  สิ่งที่ อยู่ในกฎเกณฑ์ อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ และอยู่เหนือกฎเกณฑ์ มันก็คือตัวธรรมชาติอีกนั่นแหละ หาใช่สิ่งอื่นใดไม่ มันมีแต่ความเป็นไปแห่งธรรมชาติ ตรงกับ หลักพุทธพจน์ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนั้นจึงไม่มี เมื่อสิ่งนั้นเกิด สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนั้น ดับ สิ่งนี้จึงดับ เข้าหลัก อิทัปปัตตยตาโดยแท้

•  ความ เป็นธรรมชาติ เป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา เรียบง่าย แต่ในความเป็นธรรมดาก็ไม่ธรรมดา สลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อน จนมนุษย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่อาจล่วงรู้ได้ สาเหตุก็เพราะมนุษย์พยายามทำตัวออกจากธรรมชาติ และจะอยู่เหนือธรรมชาติ ให้ได้ มนุษย์เลยถูกธรรมชาติตบหน้าเอาบ่อย ๆ

•  มนุษย์ พยายามที่อยู่เหนือธรรมชาติ ออกนอกกรอบ ที่ธรรมชาติประทานไว้ให้ ไม่ยอมเคารพ และไม่ยอมเชื่อในพระธรรมชาติ เช่นไม่เชื่อ และไม่ทำความเข้าใจในพระอนิจจัง พระทุกขัง และพระอนัตตา ในที่สุดมนุษย์ก็ต้องโศกเศร้าเสียใจ ในเมื่อวาระแห่งการสูญเสียมาถึง เพราะมนุษย์ไม่ยอมเชื่อในพระธรรม หรือพระธรรมชาตินั่นเอง ... อนิจจา

 

เจ้าชายสมณะโคดม ทรงกระทำทุกกรกริยา

•  มนุษย์ พยายามเอาตัวออกจากธรรมชาติ เพราะความที่มนุษย์ไม่เข้าใจในธรรมชาติ ทึกทักเอาว่าตนเอง เหนือกว่าธรรมชาติ วิเศษกว่าธรรมชาติ แต่ในที่สุดมนุษย์ก็ถูกกฎเกณฑ์ธรรมชาติดลบันดาลให้เป็นไปตามภาวะของความ เป็นจริงแห่งธรรมชาติ คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในที่สุด และมนุษย์ก็พบปรากฏการณ์อย่างนี้ ทุกคน

 

 

•  ผู้ยิ่งใหญ่ เหนืออื่นใดคือ ธรรมชาติ หรือพระธรรมนั่นเอง เพราะธรรมชาติ หรือพระธรรม หรือธรรมะ หรือพระเจ้าอะไร แล้วแต่จะสมมติเรียกกันว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งนี้แหละยิ่งใหญ่เหนืออื่นใด เพราะบันดาลให้เกิด บันดาลให้ตั้งอยู่ และบันดาลให้เสื่อมสลายไปในที่สุด มันยุติธรรม เที่ยงแท้สุด ๆ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนหรือเปรียบได้เลย

•  ธรรมะ หรือพระธรรมชาติสอนเราตลอดเวลา แต่เราไม่นำมาใส่ใจและขบคิด ธรรมะสอนให้เราเห็นการเกิด สอนให้เราเห็นการแก่ เห็นการเจ็บ และเห็นการตาย สอนอยู่ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ แต่มนุษย์เราก็พยายามจะปฏิเสธ สิ่งที่เราได้รับรู้จากพระธรรม หลายครั้งมี่พระธรรม หรือธรรมชาติตบหน้าเรา จนน้ำตานองหน้า บางคนถึงกับต้องช๊อคตาย แต่ก็นั่นแหละ มนุษย์ไม่เคยหลาบจำ ทุกอย่างกลับเข้าสู่อีหร่อบเดิม มนุษย์ก็ต้องเสวยทุกขเวทนาตลอดไป ตราบเท่าที่มนุษย์จะเข้าใจธรรมชาติ และเห็นพระธรรมคือกัลยามิตรที่คบค้าที่สุด

•  เสียเวลา ที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมจากพระธรรม หรือธรรมะ หรือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติได้ให้ความยุติธรรมอย่างเฉียบขาดที่สุดไม่เคยลำเอียงแม้แต่ สักเศษเสี้ยวธุลี

•  ธรรมะ ให้มนุษย์ผู้หญิงมีไข่ มีรอบเดือน ให้มนุษย์ผู้ชายมีสเปิร์ม ได้สมสู่กัน เกิดเป็นตัวอ่อน อยู่ในครรภ์ฝ่ายหญิง ตัวอ่อน เจริญเติบโตเป็น ทารกน้อย คลอดออกจากครรภ์มารดา .... พ่อแม่ดีใจดังได้แก้ว มีใครสักกี่คนที่เห็นว่าธรรมชาติได้หยิบยื่น ความเจริญ และความเสื่อมให้กับคู่รัก พร้อม ๆ กัน ตั้งแต่วินาที่แรกของการผสมระหว่างไข่และสเปิร์ม เสี้ยววินาทีนั้นก็มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นอยู่ตลอดเวลา ความเจริญกับความเสื่อม ได้ถูกจัดสรรไว้อย่างยุติธรรมดีแท้.... ในขณะที่เราก็ปล่อยความยินดียินร้าย เข้าครอบงำเราอย่างแนบสนิทเช่นกัน และแน่นอนที่สุดหากเป็นอย่างนี้ เราก็มักถูกธรรมชาติ ตบหน้าสั่งสอนแน่นอน

•  เกิด ได้นาน หนึ่งวินาทีก็เท่ากับการแหย่ เท้า เข้าใกล้กับเชิงตะกอน หนึ่งวินาที อยู่มานานห้าสิบปี ก็เท่ากับการเตรียมตัวเองเพื่อการขึ้นไปบนตะกอนห้าสิบปี และอีกไม่นาน การแตกสลายก็ต้องมาถึง นี่แหละความเฉียบขาดแห่งกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่แสนวิเศษ เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ทั้งรุนแรงและเฉียบขาดแท้

•  ในห้วง อวกาศ ห้วงแห่งจักรภพ จักรวาล แกแลกซี่ กว้างใหญ่ไพศาล เหลือคณานับ รู้เพียงว่ายังมี ดวงอาทิตย์ อีกมากมาย มีจักรภพ และจักรวาลอื่น ๆ อีกมากมายมหาศาล ดวงดาวอีกนับไม่ถ้วน ยังมีโลกอื่น ๆ อีก เมื่อเป็นอย่างนี้ มนุษย์เราคนหนึ่งถ้าจะเปรียบก็คงเป็นแค่เศษเสี้ยวของเศษผงธุลีฝุ่น มันเล็กจนไม่สามารถจะเปรียบเทียบกับอะไรได้ แต่ด้วยความอหังการของมันสมองอันน้อยนิด ของมนุษย์ มนุษย์ยังต้องการคิดฝันไปเรื่อย ๆ ทดลองไปเรื่อย ๆ เพื่อหาคำตอบที่มีอยู่มากมายมหาศาลในมวลฟากฟ้า กาแลกซี่ ที่มองเห็นอยู่

•  รู้ว่า โลกเกิดจากดวงอาทิตย์ รู้ว่าดวงจันทร์เกิดจากโลก ยังมีดวงดาวเป็นบริวารของดวงอาทิตย์ โลกเมื่อแตกออกจากดวงอาทิตย์มีความร้อน ถูกห่อหุ้มด้วยมวลกาซ แล้วเกิดพายุ เกิดฝนตก เกิดน้ำท่วม โลกเย็นลง เกิดมีสิ่งมีชีวิตเซลเดียว พัฒนาเป็นสัตว์หลายเซล มีความสลับซับซ้อนและพัฒนามาเรื่อง ๆ จนมีสัตว์ที่เรียกว่า “ คน ” และได้ชื่อว่า “ มนุษย์ ” เพราะมีจิตใจสูงส่ง แต่มนุษย์ เป็นเพียงกระแสแห่งธรรมชาติที่ถูกพัฒนาไปตามสภาวะ ตามความเปลี่ยนแปลง และยืนอยู่บน กฎ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และนี่คือสิ่งที่พระธรรมประทานให้พวกเรา

•  รู้ว่า โลกกำลังร้อน ดวงอาทิตย์เผาผลาญโลกมากกว่าเดิม ความร้อนจากดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำคงจะต้องท่วมโลก หรือโลกนี้อาจจะเหือดแห้ง ดวงอาทิตย์จะดูดโลกไปอยู่กับดวงอาทิตย์เหมือนเดิม คน สัตว์ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกต้อง ดับสูญ ดาวทุกดวงที่เป็นบริวารดวงอาทิตย์ ก็ต้องถูกดวงอาทิตย์ดูดกลับไปเป็นหนึ่งเดียว เมื่อนั้นคงจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่ ที่แน่ ๆ สัตว์มีชีวิตที่เป็นสัตว์เซลเดียวก็จะเป็นสัตว์ประเภทสุดท้ายที่หลงเหลือ อยู่ และก็จะหมดไปจากโลกเช่นกัน นี่แหละคือกระแสแห่งธรรมชาติที่เป็นไปตามสภาวะ ตามความเปลี่ยนแปลง และยืนอยู่บน กฎ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และนี่คือสิ่งที่พระธรรมประทานให้พวกเราในภาพของมิติแห่งการทำลายนั่นเอง

•  นั่งมอง ท้องฟ้า ท้องทะเล น้ำจรดฟ้า แต่เมื่อเข้าไป ก็ยังเห็นฟ้าจรดน้ำ เช่นเดิม ว่างเปล่า เข้าไปอีก ก็ยังเห็นแต่ความว่างเปล่า จินตนาการดูท้องฟ้า อวกาศ เวิ้งว้าง ว่างเปล่า และว่างเปล่า ไม่มีอะไร ใช่เมื่อพบดวงดาวดวงหนึ่ง ห่างกันนับพัน ๆ ปีแสง ห่างกัน ช่องว่าง ก็คือ ความว่างเปล่า ยิ่งหา ยิ่งค้นก็จะพบแต่ความว่างเปล่า ยิ่งดิ้นรนขวนขวายก็ยิ่งพบแต่ความ “ ว่างเปล่า ” โดยแท้

•  ความ ว่างเปล่า จึงเป็นมิติแห่งธรรมชาติที่ถูกซ่อนเร้น เป็นเหมือนฉากกำบังที่คอยปิดกั้นไม่ให้มนุษย์มองเห็นความเป็นจริง ใช่ ! เรามองไม่เห็นความว่างเปล่าเลยแม้แต่น้อย เรามองไปบนท้องฟ้า เรายังเห็นก้อนเมฆ เรามองไปที่ๆหน ๆ เราก็จะเจอกับสิ่งของต่าง ๆ มากมากมาย แต่เมื่อใดที่เราใช้จิตที่บริสุทธิ์ หรือจิตแห่งธรรมชาติมองเข้าไป เมื่อนั้นแหละ เราจะเห็นความเป็นจริง ความว่างเปล่า “ อนัตตา ” มั่นไม่มีอะไรจริง ๆ มันแค่ภาพหลอนที่ทำให้เราเห็นสิ่งเหล่านั้น ใช่ ! มันแค่ภาพหลอน ภาพลวงตา เพราะแม้เราเพ่งอยู่ในกายเรา เราเห็นมากมายที่เป็นตับ ไต ไส้ พุง แต่ที่แท้มันก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกล มันก็แค่ภาพหนึ่งที่หลอนไว้ เพราะสิ่งที่เห็นจริง ๆ นั้นก็ไม่ได้มี ตามที่เราเห็น ไม่ได้เป็นตามที่เราสัมผัส มันแค่ภาพลวงที่ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นและสัมผัสความจริงของสิ่งที่มี และสิ่งที่เป็นนั้นได้ เพราะสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็นที่เราเห็น และสัมผัส โดยความจริงก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่รวมตัวกันอยู่ และเมือถึงเวลาสิ่งเหล่านี้ก็ต้องสลายไป และกลับไปสู่ความว่างเปล่านั่นเอง

•  มนุษย์ ใช้มันสมองอันน้อยนิดแต่มีฤทธิ์ เหลือหลาย มีพลังในการที่จะประสิทธิ์ประสาทที่ได้รับมาจากธรรมชาติ แต่ เมื่อนำมันสมองอันปราดเปรื่องของมนุษย์มาเปรียบเทียบกับความสลับซับซ้อนและ ความวิจิตรพิสดารของพระธรรมชาติทั้งมวล มันสมองของมนุษย์ก็คงไม่ถึงเศษเสี้ยวผงธุลีของธรรมชาติ เพราะในตัวพระธรรมชาตินั้นยังประกอบไปด้วยสิ่งที่เราเรียกกันว่า “ พระผู้สร้าง ” “ พระผู้ทรงไว้ ” และ “ พระผู้ทำลาย ” และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือผลแห่งการประดิษฐ์คิดค้นทั้งหลายของมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมนั้น ก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาตินั้นเอง มนุษย์จึงไม่ควรอหังการ จนลืมพระบิดา หรือพระมาดาผู้ยิ่งใหญ่ ธรรมชาตินั้นเอง

•  ธรรมชาติ โดยสุดท้าย คือความว่างเปล่า ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร แล้วมันคืออะไร ? ก็มันมี มันเป็น อย่างที่มันมีอย่างที่มันเป็น แต่อย่าเพิ่งทึกทักว่ามันเป็นอะไร เพราะมันไม่ใช่ มันไม่ใช่โลก มันไม่ใช่ดวงอาทิตย์ มันไม่ใช่ต้นไม้ มันไม่ใช่สัตว์ มันไม่ใช่คน ไม่ใช่ ฯลฯ แล้วมันคืออะไร ? มันคือสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่ตั้งอยู่ สิ่งที่กำลังสลายไปตามสภาวธรรม ตามธรรมชาติเท่านั้น มันไม่มีอะไร ไม่มีแม้กระทั่งชื่อ เพราะชื่อที่มีก็เพื่อสมมติเท่านั้น

•  ใช่ มนุษย์ร้ายกาจ อหังการ ไปตั้งชื่อสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่จนหมด แต่ก็ดี เพื่อการสื่อสารกันได้สะดวก สร้างความเช้าใจซึ่งกันและกัน แต่อย่างลืม โดยความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ ทั้งนั้น เราอุตริไปตั้งชื่อให้ต่างหาก ทำให้ชื่อที่ได้มาก็ไม่เหมือนกัน เพราะมนุษย์มีหลายชาติหลายภาษา และที่สำคัญมนุษย์ลืมความเป็นจริงว่า แท้จริงแล้ว มันไม่มีอะไร ไม่ได้เป็นอะไร มันแค่กระแสแห่งธรรมชาติ เท่านั้น

•  ทำไม มนุษย์จึงต้องรบราฆ่าฟันกัน พระธรรมชาติ ได้ให้ความเป็นธรรมไว้กับมนุษย์ และธรรมชาติส่วนอื่น ๆ อย่างเป็นธรรมที่สุด ยุติธรรมที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำลายกันเองหรอก เพราะพระธรรมจะจัดสรรในการจัดการคนชั่วไปตามกรรมที่สะสมอยู่แล้ว ลองมนุษย์เลิกการทำร้ายกันเองดูบ้าง แล้วโลกมั่นน่าอยู่ ธรรมชาติมันน่ารื่นรมย์แค่ไหน แค่ธรรมชาติเขาจัดการของเขาเอง เราก็พอได้เดือดร้อนกันแล้ว เดี๋ยวแผ่นดินไหว เดี๋ยวก็ เกิดคลื่นยักษ์ซึนามิ เดี๋ยวเกิดไฟป่า เดี๋ยวภูเขาไฟระเบิด ภัยแล้ง น้ำท่วม ร้อยแปดที่เป็นเรื่องการจัดสรรของธรรมชาติในมิติแห่งการทำลาย มนุษย์ลองใช้สมองคิดกันเถิดที่เราประพฤติปฏิบัติในขณะนี้มันได้ให้เกิดคุณ งามความดีบ้างไหม ทั้งในแง่ของศีลธรรม ทั้งฝ่ายทาง โลก และฝ่ายทางธรรม ทำตัวให้สบาย ๆ แล้วคอยรับทุกข์ที่เกิดจากธรรมชาติก็น่าจะพอแล้ว ยังไม่น่าสะพรึงกลัวอีกหรือ !

•  ใบไม้ ร่วง ใบแล้วใบเล่า ลมร้อนพัดมาอย่างรุนแรง ทุกอย่างกำลังสอนเราให้เข้าใจ และซาบซึ้งในตัวธรรมชาติ แต่หลายคนมองผ่าน และไม่ได้นำสิ่งเหล่านี้มาใส่ใจ ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านี้เป็นปรมาจารย์ที่วิเศษที่กำลังสอนให้รู้แก่นแท้ของธรรมชาติ

•  ใบไม้ สดก็ร่วง ใบอ่อนก็ร่วง ใบแก่ก็ร่วง ใบไม้ที่เหี่ยวเฉาก็ร่วง ใช่ธรรมชาติกำลังสอนธรรมะให้มนุษย์ สอนให้เราเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีที่สุดรอบ

•  เสียง เพลงทิพย์หวีดหวิวออกจากขลุ่ยทิพย์ ขลุ่ยออกจากกอไผ่ ใช่เสียงเพลงเหล่านั้น ไพเราะ เพราะพริ้ง หลากหลายลีลา บางครั้งออดอ้อน บางครั้งโอดครวญ โหยหา อาลัยอาวรณ์ วังเวง ปรับเปลี่ยนเป็นเร้าใจ ตื่นเต้น ปรากฏการณ์เหล่านี้จะมีไม่ได้ถ้าขาดมนุษย์ทีมีความคิดอันวิจิตรพิสดารในการ สรรค์สร้างขลุ่ยทิพย์ แล้วใส่จิตวิญญาณ ลงในเสียงเพลงเหล่านั้น ทำให้เกิดพลังในการจินตนาการอย่างไกลลิบ สุดคาด คนานับ แต่มันเกิดขึ้น แล้วตั้งอยู่ และก็ดับไปในที่สุด

•  ธรรมะ หรือธรรมชาติ เป็นพระเจ้าที่จะประสิทธิ์ประสาท ให้เกิดทุกสิ่งทุกอย่าง บันดาลให้คงอยู่ บันดาลให้เสื่อมสลายไปในที่สุด พระธรรมจึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีมาก่อนสิ่งอื่นใด เป็นมูลฐานต้นเหตุของทุก ๆ เรื่อง ไม่มีสิ่งใดที่จะมีความสามารถเกินกว่าพระธรรมได้ พระธรรมคือพระบิดาพระมารดาของทุก ๆ อย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ค้นพบพระธรรมและนำมาเผยแพร่ให้พวกเราได้เข้าใจ และเดินตามรอยสัมมาสัมพุทธเจ้า

•  ในความ สมบูรณ์ และความไม่สมบูรณ์ สิ่งที่แน่นอนที่สุด สิ่งเหล่านี้ไม่มี เพราะเรื่องของความสมบูรณ์ไม่สมบูรณ์ เป็นเพียงการสมมุติ

ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ความสมบูรณ์และความไม่สมบูรณ์ไม่มี เพราะทุกอย่างเป็นแค่ความเป็นธรรมชาติ เป็นแค่กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ตามหลักของ อิทัปปัตยตา เท่านั้นเอง สมบูรณ์และไม่สมบูรณ์จะมีได้อย่างไรเล่า

•  Text Box:  เรื่องของสมมติ กับ เรื่องของปรมัตถ์ เป็นคนละเรื่อง ต้องแยกกันให้ออก เข้าใจเรื่องสมมติเพื่อการเป็นอยู่ในโลกียวิสัย เพื่อความเป็นไปในโลกของการสมมติ และ เพื่อความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสาร เพื่อการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันโดยง่าย แต่หากเอาเรื่องการสมมติเพื่อการยึดมั่นถือมั่นว่านั่นคือของกู นั่นคือตัวกูเมื่อไหร่ วินาทีนั้น นาทีนั้น ชั่วโมงนั่น พระธรรม หรือธรรมชาติจะตบหน้าสั่งสอนเราทันที เพราะเราไม่เข้าใจโลกสมมติ และโลกแห่งปรมัตถ์

•  พึงเข้าใจ โลกแห่งการสมมติ และโลกแห่งปรมัตถ์ให้มากและนำจิตเข้าไปคลุกกับมัน ให้เกิดความคุ้นชินกับมันว่า ที่แท้จริงนั้นมันไม่มีอะไรจริง ๆ ทุกอย่างมันเป็นแค่การสมมุติเพื่อให้เกิดความสะดวกสบาย ง่ายในการปกครอง ง่ายในเรื่อง ของการแบ่งปัน ง่ายในเรื่องโลก ๆ คือการบริหารจัดการแบบโลก ๆ แต่ถ้าหากมนุษย์คนใดไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ มีการยึดมั่นถือมั่น และมองโลกแห่งการสมมุติเป็นโลกแห่งความเป็นจริง เป็นโลกของเขาเองทั้งหมด เป็นเรื่องที่เขาต้องเป็นเจ้าของ น่าเสียดาย เพราะเขาจะต้อง การวนเวียนในกองทุกข์ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

•  อวิชชา หรือความไม่รู้ในเรื่องเหล่านี้ เริ่มตั้งแต่การทึกทักเอาว่า “ ตัวเอง ” คือตัวของเขา เขาเป็นเจ้าของ เขามีสิทธิ์ในตัวเขา เขาสามารถบังคับบัญชาตัวเขาได้ทุกเรื่อง เขาต้องบังคับ ไม่ให้ตัวเองเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ ใช่หรือไม่ แหละนี่คือความเข้าใจผิดในสายสมมติ อวิชชาทำให้มนุษย์ติดอยู่แค่นี้ ทั้ง ๆ ที่ในทางปรมัตถ์ ตัวตนไม่มี มันไม่มี ไม่มี จริง ๆ ต้องทำความเข้าใจ มันเป็นเพียงแค่กระแสของธรรมชาติ มันเป็นแค่ผลพวงของอิทัปปัตยตา เท่านั้น ไม่ได้มีสิ่งอื่นเลย เมื่อตัวเองก็ไม่มี แล้วของตัวเองจะมีอย่างไร เช่นเดียวที่ท่านพุทธทาสได้พูดว่า “ เมื่อตัวกูไม่มีแล้ว จะมีของกูได้อย่างไร ”

•  พึง เข้าใจในความเป็นมนุษย์และในธรรมชาติ ธรรมชาติยิ่งใหญ่ที่สุด มนุษย์แค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อย่าเข้าใจว่ามนุษย์ไม่ใช่ธรรมชาติ เพราะ “ สัพเพธรรมมา ” แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นธรรมชาติทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่ว่า ธรรมะนั้นเป็นส่วนใด เป็นฝ่ายกุศลธรรมฝ่ายอกุศลธรรม ในฐานะของความเป็นมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐ ก็ต้องค้นหาให้พบว่าเราเป็นผู้ประเสริฐอย่างไร มนุษย์ประเสริฐเพราะสามารถทำให้ความทุกข์ให้สิ้นไปได้ สามารถอยู่ในท่ามกลางของธรรมชาติได้ดีกว่าสัตว์อื่น สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วกว่าสัตว์อื่น ในทางกลับกันธรรมชาติก็ได้ให้ความเป็นมนุษย์ในแง่อื่นไว้ด้วย เช่นกัน มนุษย์มีกิเลส มีตัณหา มีความโกรธ มีความรู้สึกนึกคิดที่ค่อนข้างน่ากลัวสัตว์อื่นทั้งหมด มนุษย์มีสัญชาติญาณแห่งการทำลายที่มากกว่าสัตว์อื่น หลายร้อยเท่าพันทวี

 


 

 ขอบคุณ บทความจากเว็บต้นขั้วครับ http://phek.svec.go.th/content/human.htm

 ขอแสดงความนับถือ

กราบขอบพระคุณ นมัสการ พระธรรมชาติ

เม้ง สมพร ช่วยอารีย์ 

 

หมายเลขบันทึก: 122259เขียนเมื่อ 27 สิงหาคม 2007 03:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม 2012 23:32 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สวัสดีค่ะน้องเม้ง

  • ครูอ้อยมาอ่านบันทึกของน้องเม้งทีไร  ...  รู้สึกสบายใจทุกครั้งไปเลยค่ะ
  • ครูอ้อยไม่ค่อยมีความรู้อะไรที่จะต่อเติมต่อยอดในบันทึก ...แต่บอกความรู้สึกว่า..น่าจะมีมนุษย์แบบน้องเม้งเยอะๆ  ..  โลกนี้จะมีความสุขแน่นอนค่ะ

ครูอ้อยแวะมาเป็นกำลังใจ..และชื่นชมน้องเม้งเสมอค่ะ

สวัสดีครับคุณเม้ง

     ต้อง save เก็บไว้อ่านครับ อาหารดีๆแบบนี้ต้องค่อยๆเคี้ยว ค่อยๆกลืน ครับ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆแบบนี้ครับ

พระเา ที่แท้จริง คือพระธรรมชาติ พระเจ้าที่แท้จริง คือกฎเกณฑ์ของพระธรรมชาติ พระเจ้าที่แท้จริงคือผลที่จากพระธรรมชาติประทานมาให้ และพระเจ้าที่แท้จริง หนีไม่พ้น การเปลี่ยนแปลงที่มีการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พระเจ้าที่แท้จริง คือ พระอนิจจัง พระทุกขัง และพระอนัตตา

ปฐมกาลบทที่1 ข้อ1ถึง20

พระคริสตธรรมคัมภีร์

"ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตรสร้างฟ้าและแผ่นดิน แผ่นดินก็งเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ ......"

สิ่งที่คุณนำมาให้อ่านนั้นจับใจ  ได้นำคำในพระคัมภีร์ให้ผู้สนใจค้นคว้าหาความจริงในชีวิตเพิ่มเติมได้ค้นคว้าต่อไป มิได้มีวัตถุประสงค์อื่นนอกจากความปรารถนาจากใจที่ทุกคนจะค้นหาทราบความจริงแห่งชีวิตตามคำนำสอนแห่งพระพุทธองค์และความจริงในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์

 

 

P
สิริพร กุ่ยกระโทก

 

สวัสดีครับพี่อ้อย

  •  ขอบคุณพี่้อ้อยมากๆ นะครับผม จริงๆ แล้วแสดงความเห็นในสิ่งที่คิดที่มองได้เลยนะครับ อย่าคิดว่าพี่อ้อยไม่มีความรู้เลยครับ
  • มีอะไรบอกไว้ได้เสมอนะครับผม
  • ขอบคุณมากครับ
P
เฒ่าหน้าเหมน

 

สวัสดีครับท่านอาจารย์

  •  สบายดีไหมครับผม งานอบรมหนักไหมครับ
  • ผมชอบบทความนี้มากเหมือนกันครับ นับว่าท่านผู้เขียนได้ถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจผมออกมาได้เยอะมากครับ เพราะคีย์เวิร์ดนั้น แท้ๆ ครับ  พระธรรมชาติ ครับ
  • รักษาสุขภาพนะครับ รบกวนท่านอาจารย์ช่วยรายงานราคาผลไม้ในละแวกด้วยนะครับ
  • ขอบคุณมากครับ
ไม่มีรูป
ไม่แสดงตน

 

สวัสดีครับ

  •  ขอบคุณมากครับผม จริงๆ แล้วบทความที่นำมาไม่ได้เจตนาเพื่อให้เห็นว่าตรงกับศาสนาหนึ่งศาสนาใดครับ โดยที่เป้าแท้จริง เน้นที่ธรรมชาติ เป็นหลักครับ โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่าง คนกับธรรมชาติครับ
  • เพราะธรรมชาตินั้น มีคำตอบให้เราเสมอ ตามวาระ กาลเวลา ที่เหมาะสม
  • ขอบคุณมากๆ เลยครับ
P
     สวัสดีครับคุณเม้ง
  • สุขภาพก็ดีมั่งไม่ดีมั่ง ไปตามเหตุและปัจจัยครับ
  • งานอบรม ช่วงสิ้นปีงบประมาณ เดือนกันยายนนี้ หลายรุ่นครับ
  • ช่วงนี้ มังคุดจะหมดสวนแล้วครับ ลองกองทางใต้ยังมีอีกเยอะ ครับ
  • ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเข้ามาเขียน เอาแต่อ่านลูกเดียว
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท