เรื่องของอาม่า


เรื่องเล่านี้ได้รับมาจากเพื่อน แต่ภาษาไม่ค่อยสวยงามเลยขอ edit สำนวนสักหน่อย
เพื่ออรรถรสในการอ่านที่เพิ่มขึ้น ลองอ่านกันดูนะคะ



ณ บ้านหลังหนึ่ง มีสามี ภรรยา ลูกชาย และแม่แก่ๆ คนหนึ่ง อยู่รวมกันเป็นครอบครัวเล็กๆ แม่ที่หลานเรียกว่าอาม่านั้นแก่มาก และไม่แข็งแรง มีอาการมือสั่นตลอดเวลา ทำให้ถืออะไรก็ลำบาก โดยเฉพาะเวลาที่ทานข้าวร่วมกับครอบครัว อาม่าจะถือชามข้าวไว้อย่างคนจีนทำ แต่ก็มักทำข้าวหกลงบนโต๊ะเสมอ ลูกสะใภ้รำคาญกับเรื่องนี้มาก จึงบ่นกับสามีว่าเวลาอาม่าทานข้าวชอบทำเม็ดข้าวหกเกลื่อนโต๊ะ เธอทนไม่ได้ และทำให้รู้สึกกินไม่ลง ฝ่ายสามีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถทำให้แม่หายมือสั่นได้ อีกไม่กี่วัน ลูกสะใภ้ก็พูดกับสามีเรื่องนี้อีก ว่าจะไม่แก้ไขอะไรเลยหรือ ทนไม่ไหวแล้วนะ ถ้าไม่ทำอะไรจะไม่กินร่วมโต๊ะด้วยแล้ว หลังจากโต้เถียงกันไปสักพัก สามีก็ยอมตามใจภรรยา โดยแก้ปัญหาแบบเสียมิได้ ในเมื่อภรรยาไม่อยากทนดูก็ต้องแยกโต๊ะ คือเมื่อถึงเวลาทานข้าว เขาจะจัดให้แม่นั่งแยกโต๊ะต่างหากเพียงคนเดียว และใช้ถ้วยข้าวถูกๆ บิ่นๆ เพราะอาม่าทำถ้วยแตกบ่อยๆ

อาม่าเศร้าใจมากเพราะไม่มีปัญญาจะแก้ไข เนื่องจากไม่ได้ตั้งใจ แต่ที่ทำข้าวหกและถ้วยแตกบ่อยเพราะแก่แล้ว จะทำอย่างไรได้ นางนึกถึงอดีตที่เลี้ยงดูลูกชายด้วยความรักเสมอมา นางไม่เคยบ่นต่อความเหนื่อยยากในการเลี้ยงดู ตอนเล็กๆ ลูกชายกินข้าวหกก็ไม่เคยบ่นว่า ทำชามแตกก็ไม่เคยดุด่า สรรหาชามสวยงามมาให้ใช้เพื่อลูกชายจะได้เจริญอาหาร ลูกเป็นดั่งดวงใจ ยามมือเจ็บเป็นแผลเล็กน้อยนางก็ป้อนข้าวให้ ไม่เคยทำให้ลูกต้องเสียใจ ใครบ่นว่าลูกชายก็จะออกหน้ารับแทน แต่ตอนนี้อาม่าเพียงทำข้าวหก ทำชามข้าวแตก ลูกชายเพื่อตามใจภรรยาก็ยอมผลักไสตนให้ไปนั่งกินข้าวต่างหาก เพราะรังเกียจสิ่งที่มาพร้อมกับความชรา นางได้แต่ทนยอมรับชะตากรรม กินข้าวเคล้าน้ำตา อาหารมื้อนั้นผ่านไปโดยไร้รสชาด และไม่อยากให้ถึงมื้อต่อไป

หลายวันต่อมา อาม่าเซื่องซึม เศร้าใจ รอยยิ้มที่เคยมีความสุขจางหายไปจากใบหน้า แววตาหม่นหมอง ซูบผอมเพราะกินข้าวไม่ลง หลานชายน้อยๆ วัย 8 ขวบของอาม่าซึ่งเฝ้าดูทุกอย่างมาตลอดก็เข้ามาปลอบใจ บอกว่า...เขารู้ว่าอาม่าเสียใจมากที่ถูกทำแบบนี้ และขอให้อาม่าทำตามแผนที่เขาคิดขึ้น เขามีวิธีที่จะให้อาม่ากลับไปทานข้าวร่วมกับทุกคนได้ จะได้มีความสุขอย่างเดิม ความหวังเริ่มเกิดขึ้นในหัวใจของหญิงชรา จึงถามหลานชายว่าจะทำอย่างไร หลานตอบว่าเย็นนี้ให้อาม่าแกล้งทำชามตกแตกเหมือนกับไม่ได้ตั้งใจ อาม่าได้ฟังก็แปลกใจ แต่เด็กน้อยยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าให้ทำตามที่บอก ส่วนที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่ของเขาเอง

และแล้วเมื่อได้เวลาอาหารเย็นอีกครั้ง หญิงชราก็ตัดสินใจลองทำตามที่หลานพูด เพราะแอบหวังในใจลึกๆ ว่าหลานจะมีแผนอะไรที่พอช่วยได้ พอเริ่มทานอาหาร อาม่าก็ยกถ้วยข้าวเก่าที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นขึ้น แล้วแกล้งปล่อยลงบนพื้นเหมือนกับหลุดมือ ถ้วยข้าวเก่าๆ แตกกระจาย ลูกสะใภ้เห็นถ้วยแตกเสียหายก็ลุกขึ้นเตรียมจะบ่นว่าอาม่าเหมือนดังที่เคยทำ แต่ลูกชายตัวน้อยกลับชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า "โธ่...อาม่า ทำอะไรน่ะ ทำไมทำชามแตกหมดเลย หนูกะว่าจะเก็บไว้ให้คุณแม่ใช้ตอนแก่ซะหน่อย...เพราะเวลาคนแก่แล้วไม่ต้องใช้ของดีหรอก" ลูกสะใภ้เมื่อได้ยินลูกชายตัวน้อยพูดเช่นนี้ก็อึ้ง หน้าซีด และคิดได้ว่าตนทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมลงไป ซึ่งสิ่งนั้นมันเป็นแบบอย่างที่เลวร้ายแต่เธอทำให้ลูกตัวเองเห็นเป็นแบบอย่าง เธอรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำ และก็ไม่อยากให้ลูกชายปฏิบัติกับเธอยามแก่ตัวลงแบบนี้ ความรู้สึกอับอายในการกระทำแล่นท่วมท้น เธอจึงลุกขึ้นขอโทษอาม่า รวมถึงตัวสามีเองก็กราบขอโทษแม่ที่ต้องทำให้แม่เสียใจ จากนั้นมา อาม่าก็ทานข้าวร่วมกับทุกคนดังเดิม
ถึงแม้ข้าวจะหก หรือชามจะแตกก็ไม่มีเสียงบ่นว่าอีกเลย มีแต่ความเข้าใจซึ่งกันและกัน...



เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แทงใจเมื่อได้อ่านจนต้องลุกขึ้นเอามาแบ่งปันกัน และต้องตั้งคำถามว่าเราเคยกันบ้างมั้ยที่ทำร้ายจิตใจบุพการี ผู้ที่เลี้ยงดูเรามา ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำเล็กๆ น้อยๆ คือไม่ต้องให้เหตุการณ์เลวร้ายอย่างที่สามีภรรยาคูนี้ทำกับแม่ของเขาหรอก อย่างน้อยผู้เขียนเองก็เคยว่าแม่ตัวเองเหมือนกัน คิดๆ แล้ววันนี้ต้องรีบกลับบ้านไปนั่งกินข้าวกับแม่ดีกว่า เผื่อจะได้มีโอกาสดุเวลาแม่ทำข้าวหก อุ๊บส์ ไม่ใช่ จะได้ช่วยตักกับข้าวให้แม่ต่างหาก : P

1 ในบัญญัติ 10 ประการ คือการให้เกียรติและเชื่อฟังบิดามารดา ดังที่ปรากฏไว้ในพระคัมภีร์หลายบท

จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า อพยพ 20:12
ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า นี้เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย เพื่อเจ้าจะได้ไปดีมาดี และมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก เอเฟซัส 6:1-3
ฝ่ายบุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนทุกอย่าง เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า โคโลสี 3:20   

ผู้เขียนคิดว่าไม่ว่าศาสนาใดก็สอนให้เรารักและเคารพบุพการีทั้งนั้น แต่เราได้ตระหนักอยู่ตลอดเวลาหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

..
หมายเลขบันทึก: 166214เขียนเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2008 19:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน 2012 18:03 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)
แหม..น้องซู..มากระตุกต่อมสำนึกอีกแล้ว..ดีจัง
P  พี่อุบล

นั่นสิ อ่านแล้ววันนี้เลิกทำงานแต่หัวค่ำ รีบเผ่นกลับบ้านไปกินข้าวกับแม่เลย

P  พี่บางทราย

ก็หวังว่าจะทำให้หลายๆ คนฉุกคิดขึ้นมาบ้าง จริงๆ เรื่องแบบนี้มันใกล้ตัวแต่บ่อยครั้งเราก็ลืมใส่ใจจิตใจของพ่อแม่ วันนี้แม่ดีใจที่หนูกลับบ้านเร็ว ไม่ค่อยได้กินข้าวพร้อมหน้า เพราะหมู่นี้งานเยอะ ตอนแรกก็ตั้งใจจะมาทำโน่นทำนี่ให้แม่ ปรากฏว่ากลับมาถึงแม่กินจะเสร็จแล้ว พอเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แม่ก็ตักข้าวให้เสร็จ ไปเอากับข้าวที่เก็บไว้ให้มาเพิ่ม แถมพอกินเสร็จ ก็ไปเอาส้มมาแกะให้กินอีก หาแบบนี้ได้ที่ไหนเนี่ย หนูสบายซะเคยเพราะแม่ทำให้หมด - - " รู้สึกละอายเหมือนกัน

ซูซาน

อ่านแล้วจะรีบกลับบ้านเหมือนกัน

แต่....เอ.....ไม่มีพ่อกับแม่อยู่ ซะแล้ว

งั้นทำงานต่อดีกว่า...อิอิ

แหม...พี่อึ่งอ๊อบ อยู่ดึกอีกแล้ว เมื่อคืนก็ตีหนึ่งกว่า เดี๋ยวเขาก็แจกโล่ห์ข้าราชการดีเด่นให้หรอก หรือไม่ก็ตามมาเก็บค่าไฟที่เพิ่มขึ้น 555 กลับบ้านเพื่อตัวเองก็ได้นะ ไปพักผ่อนบ้าง แล้วที่สำคัญน้องหมาที่บ้านจะได้ไม่เหงาไง
  • คุณ L J แล้วพ่อแม่ที่ไม่เคยดูแลลูกเลย
  • เลี้ยงลูกแบบบุฟเฟ่ต์ ถ้าตอนแก่ไม่มีลูก ๆ มาเหลียวแล
  • ทำไงดีค่ะ.

P  คุณ Stardust

อันนี้ถามดีนะ คนอื่นเราไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเราก็คงทำเท่าที่ทำได้ คงไม่เอาจุดที่เขาไม่เลี้ยงดูมาคิด คือคิดไปก็เท่านั้น เรื่องมันผ่านมาแล้ว ถ้าว่ากันตามหลักศาสนาคริสต์นะ เขาก็ต้องถูกพิพากษาในสิ่งที่เขาทำเองอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งนั้นก็คงแย่พอ เราไม่ต้องไปมีส่วนร่วมในการตัดสินด้วยหรอก เพราะทุกคนก็เคยทำผิดทั้งนั้น ไม่มีใครบริสุทธิ์พอที่จะไปตัดสินใครได้ หรือคุณ stardust รู้จักใครในโลกที่ไม่เคยทำผิด

ถ้าเราทำดีกับพ่อแม่ที่ไม่เคยเหลียวแลเราตอนเด็ก สิ่งนั้นแหล่ะที่จะเป็นตัวทิ่มแทงความรู้สึกเขาเอง ความละอายและความสำนึกมันมีอยู่ในทุกคน แต่อาจจะตื้นลึกไม่เท่ากัน และเมื่อรู้สึกแล้วจะพูดออกมาหรือเปล่ามันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราว่าแค่เขารู้สึกผิดนั้นก็เป็นการลงโทษที่เพียงพอแล้วนะ

ซูซาน... เขียนดีเหมือนอ่านนิทานสอนใจเลยนะ นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องดีๆมาเตือนสติ อ่านตอนแรกก็นึกตามใหญ่เลยว่าหลานจะทำยังไงนะ...แหม...ฉลาดจริงๆ

เหมือนที่พี่ไปนั่งวิปัสนามา เค๊าเล่าเรื่องพระในบ้าน คือมีคุณนายที่เอาแต่ไปถวาย อาหารอย่างดีให้พระเจ้าอาวาสที่วัด แต่แม่ในบ้านตัวเองไม่เคยเหลียวแล เรื่องอาหาร การกินเลย พระท่านก็เลยเตือนสติว่า ไม่ต้องเอาอาหารมาถวายพระที่นี่หรอก  พระที่บ้านได้ดููแลดีแล้วหรือยัง?

อ่านแล้ว ได้ข้อคิด  ข้อเตือนใจค่ะ

 

 

P  พี่อุ๊

จ้า ตามมาอ่านเรื่องอาม่าซะด้วย ตอนแรกที่อ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้มันแทงใจปี๊ดๆ แต่ภาษาต้นฉบับเขาอ่านยาก วกวน ซ้ำซ้อน ต้องใช้ความพยายามเยอะ เลยจับมา edit ซะใหม่ให้อ่านง่าย แสดงพ้อยท์ที่ชัดเจนขึ้น รวมถึงความสวยงามของภาษา พอเล่าให้น้องฟังเรื่องนี้ถึงตอนที่หลานพูด เขาสำลักน้ำเลยอ่ะ เราก็เลือกจังหวะเล่าไม่ดีเอง ออยกำลังกินน้ำอยู่ ^ ^

นั่นสิเรื่องใกล้ตัวคนชอบลืมเนอะ คนที่อยู่ในครอบครัวกลับไม่ได้ดูแล

มีเรื่องที่แอบหงุดหงิดจะเล่าให้ฟังว่า แม่เราชอบไหว้พระไหว้เจ้าทำบุญ ถึงจะรู้เรื่องหรืองมงายไปบ้าง เราก็ไม่ว่านะ บ่อยครั้งด้วยซ้ำที่เราช่วยขับรถพาไป เพื่อนที่เป็นคริสเตียนบางคนก็ชอบถามว่าเป็นคริสต์ทำไมสนับสนุนแม่ให้ไปวัด เราว่ามันต้องแยกให้ออกระหว่างเรื่องครอบครัวกับความเชื่อส่วนตัว

ถ้าเราไม่ทำหน้าที่ลูกที่ดี ปล่อยให้แม่ไปโน่นนี่เอง หรือไปว่าไปห้าม และทำให้เขาไม่สบายใจ อึดอัดใจ อย่างนี้เราทำถูกแล้วหรือ อย่างน้อยก็ผิดหลักในบัญญัติ 10 ประการแหล่ะ ส่วนการสนับสนุนนั้นเราไม่ได้เข้าไปเกี่ยวด้วยนี่ ตังค์ก็ไม่ได้ให้ ไหว้ก็ไม่ได้ไหว้ นั่งรออยู่ด้านนอกด้วยซ้ำ จะว่าเราสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนาอื่นได้ไง เพื่อนเขากลัวว่าเราจะตกขอบทางความเชื่อ แต่เราว่าเรื่องนี้ไม่มีใครเปลี่ยนใครได้หรอก การไม่แสดงออกมาไม่ได้ทำให้ความเชื่อเราลดถอยลงซะหน่อย การพร่ำพูดหรือแสดงออกมากๆ ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น อาจจะดู holy ขึ้นในสายตาบางคน แต่ใจเราเองรู้ดีที่สุดว่าเรานั้นเป็นยังไง

ปล. กำลังออกแบบบล็อกให้อยู่นะ อาทิตย์นี้เสร็จแน่ ช้าไปหน่อยเพราะทำงานไปด้วย

สวัสดีจ๊ะน้องซูซาน

เรื่องนี้สอนใจได้ดีทีเดียว คนเราบางทีก็มองแต่มุมของตัวเอง ลืมมองมุมของคนอื่นไป บางทีพี่ก็เป็น เช่น ทำไมคนนี้ขับรถช้าจัง ขับกินเลนอีกต่างหาก ...นึกไปนึกมา นึกขึ้นได้ว่าก็คงเหมือนพ่อเรา อายุเยอะแล้ว การตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ จะช้า และตาก็อาจจะไม่ค่อยดีด้วย ก็จะทำให้ใจเย็นขึ้น...  เดี๋ยวนี้จะทำอะไร จะคิดถึงใจเขาใจเรามากขึ้น โดยเฉพาะในครอบครัวด้วย แต่ก็ยังมีหลุดๆ บ้าง อิอิ พยายามไปเรื่อยๆ จ๊ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าดีๆ นะ หลานชายคนนี้ฉลาดจัง ^ ^

ซูซาน..ทำถูกแล้วหล่ะ ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ศาสนาทุกศาสนาสอนให้เราทำดี จะไปวัด ไปมัสยิด ไปศาลเจ้า ไปโบสถ์ (เอ๊ะสะกดถูกเปล่า?) พี่ว่าก็ดีในแบบของเค๊า รับได้หมด ใจกว้าง..5555

ช่างหาทั้งเรื่องสอนใจและเรื่องขำๆอย่างบันทึกที่แล้วมาเล่านะคะ

พ่อแม่ที่แก่เฒ่าที่อยู่ในบ้านนั้นคนสมัยนี้มักไม่ค่อยได้นึกถึง เพราะชีวิตครอบครัวที่มักต้องแยกกันอยู่ เลยเห็นความสำคัญของพ่อแม่ ปู่ย่าตายายน้อยลงมาก มัวนึกถึงแต่ตัวเอง บางทีดูแลความเป็นอยู่ให้อย่างดี แต่ไม่ให้ความอบอุ่นทางใจท่าน หรือบางทีพูดจาไม่ให้ความเคารพยิ่งทำให้เจ็บช้ำน้ำใจเป็นบาปหนัก

เวลาเห็นลูกหลานหนุ่มสาวพาอาม่า คุณพ่อ คุณแม่ คุณตา คุณยายที่แก่มากๆกระย่องกะแย่ง ให้ได้ไปเที่ยว ไปวัด ไปทานอาหารร้านดีๆ รู้สึกยิ้มในหัวใจนะคะ

 

 

  • อยากให้สังคมไทย ใส่ใจกันครับ
  • จริงๆด้วยน้องซูซาน
  • บางครั้งมันเป็นไปตามสังขาร
  • หากเรายังไม่ถึงวัยเราก็ไม่เข้าใจ
  • พออายุมากเข้าอะไรก็เสื่อมถอย
  • หากรักษาสุขภาพตั้งแต่อายุน้อยๆ
  • จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง เป็นหนุ่มสาวได้กว่าคนวัยเดียวกันนะคะ

P  พี่ตุ๋ย

เมื่อสักเดือนที่แล้วไปห้างเจอคุณตาท่าทางอายุราว 70 ที่ลานจอดรถ คุณตาวนมาอีกทาง จะเข้ามาแต่เห็นเราจ่ออยู่ก่อนก็เลยชะงัก คือที่จอดมันใกล้ประตู ก็เลยตัดใจเสียสละให้ เพราะเรารู้ว่าที่กว้างๆ คนแก่จอดง่ายกว่าแล้วก็ใกล้ประตูจะได้ไม่ต้องเดินไกล ไอ้เรามันขาซิ่งไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ได้อีก พอเจออีกที่หมายตาปักหัวรถเข้าไปชว้าบ วันนั้นเหมือนมีอะไรมาทดสอบ ดันเจอยายคนหนึ่งก็สวนทางมา คงเพราะเห็นที่แต่ไม่ทันเรา งานนั้นก็เลย เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วให้ตาแล้วก็ให้ยายอีกคนจะเป็นไร สรุปให้เขาแล้วต้องวนหาไปอีกเกือบสิบนาที จอดไกลสุดกู่ เหนื่อยเล็กน้อยแต่มีความสุขเหมือนกัน วันนั้นเลยกินข้าวอร่อย ^ ^

P  พี่อุ๊

เดี๋ยวนี้เราใจเย็นขึ้นเยอะน่ะ ก่อนจะโกรธมักจะคิดก่อน พอคิดนานๆ มันก็เลยโกรธน้อยลง มีเหตุผลมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มากพอ ต้องฝึกอีกเยอะ ไม่งั้นคนที่มาว่าเราโดยไม่ใช่เรื่องของตัวเองแบบนี้ถ้าเป็นตอนวัยรุ่นคงโดนเราด่าไปตรงๆ แน่นอน

P  พี่นุช

หนูชอบคุยกับคนสูงอายุ สนุกดี บางครั้งก็เบื่อเหมือนกันเพราะพูดช้านึกช้าไม่ทันใจเรา แต่เห็นเขามีความสุขก็โอเคค่ะ หนูมีเกณฑ์คบเพื่อนอยู่อย่างนึง ถ้าไม่กตัญญู ไม่ให้เกียรติพ่อแม่ตัวเองนี่เลิกคบเลย ต้องคิดดูว่าเราเป็นใครกัน คนนี้ทำกับคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาได้ แล้วกับเราจะไปเหลือเหรอ

P  คุณสุขสม

พูดแบบนี้น่าไปประกวดนางงามนิ อิ อิ

P  พี่นารี

อืมม์ จริงค่ะ แม่ก็เริ่มบ่นว่าเหนื่อยง่ายขึ้น แต่ก่อนก็ไม่เข้าใจคนแก่ที่ลุกก็โอย นั่งก็โอย เดี๋ยวนี้แม่บอกว่า get แล้ว เพราะกำลังเจอกับตัวเอง ดีที่เป็นน้อยหน่อย แต่นี่ก็ต้องพยายามทำหน้าที่ลูกที่ดี เป็นสารถีให้แม่ตลอด และหมั่นพาไปตรวจสุขภาพตามกำหนด เพราะถ้าบอกให้ไปตรวจเองล่ะก็ รอไปเถอะ ไม่ไปหรอกค่ะ ดื้อพอสมควร กำลังดูว่าย่ากับหลานใครดื้อกว่ากัน

  • พึ่งมีโอกาสได้เข้ามาซาบซึ้งกับบันทึกนี้...อ่านแล้วเศร้าในช่วงแรก แต่ก็จบลงด้วยดี
  • พี่แหววก็พยายามเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกอยู่ค่ะ...อีกทั้งก็ถือโอกาสตอบแทนคุณพ่อกับแม่ที่ดูแลเรามาอย่างเหนื่อยยากด้วย
  • สนับสนุนบันทึกดีๆนี้เต็มที่เลยค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท