เมื่อวานตอนบ่ายผู้บังคับบัญชาผม คือ อาจารย์ ดร.วรรทณา สินศิริ รองอธิการบดีฝ่ายประกันคุณภาพ วานให้ผมช่วยออกแบบเนื้อหาและจัดทำ presentation ในหัวข้อ "การจัดการความรู้" เพื่อไปบรรยายให้เพื่อนอาจารย์ในภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะเทคโนโลยี ประมาณ 10 คน เพื่อจุดประกายการทำ KM ของภาควิชาฯ
โดยผมได้ลำดับหัวข้อการนำเสนอเป็น 4 ฉาก คือ
มีหัวข้อย่อยของการนำเสนอคือ
อ้างอิง
...เมื่อเรียนรู้ แล้วขอให้เรียนรู้อย่างยั่งยืน เมื่อยั่งยืนแล้ว องค์การก็จะมี ชีวิต เรียกว่า องค์การมีชีวิต ตามลำดับ KM > LO > Life Organization
เป็นกำลังใจให้ครับ
วิชิต
จุดดี
1.เป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่ายผู้ที่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโปรแกรมตัดต่อต่างๆ สามารถที่จะเข้าใจได้ในทันที เพราะว่าเป็นโปรแกรมที่ไม่ซับซ้อนเหมือนกับโปรแกรมตัดต่อตัวอื่นๆ ครับ
2.เป็นโปรแกรมที่ไม่ต้องRender(คือการทำให้เราสามารถมองเห็นภาพหรือคลิปวีดีโอเมื่อใส่เอฟเฟคแล้วได้ทันทีไม่ว่าจะเป็นVideo Effects หรือ Video Transitions) บางโปรแกรมเช่นโปรแกรมAdobe Premiere นั้นต้องกด Alt ค้างไว้ด้วยถึงจะมองเห็นว่าเอฟเฟคที่เราได้ใส่นั้นเป็นอย่างไร
3.เป็นโปรแกรมที่Support ตัวอักษรทุกรูปแบบครับแม้กระทั่งตัวอักษรไทยแบบต่างๆ ซึ่งบางโปรแกรมนั้นจะอ่านไม่รู้เรื่อง เช่นโปรแกรมAdobe Premiere (จะอ่านได้แบบอักษรไทยได้เฉพาะDSE และJSเป็นต้น)
4.เป็นโปรแกรมที่มีการทำไตเติ้ลสำเร็จรูปที่สวยงามดูเป็นมืออาชีพ และที่สำคัญนั้นใช้งานง่ายมากไม่ซับซ้อนครับ
5.เอฟเฟคบางเอฟเฟคนั้นไม่ว่าจะเป็นVideo Effects หรือ Video Transitions นั้นจะไม่มีในโปรแกรมAdobe Premiere แต่จะมีในการด์ตัดต่อซึ่งราคาแพง แต่โปรแกรม Windows Movie Maker ก็ได้นำมาให้เราใช้ เช่นเอฟเฟคทำให้ภาพนั้นเก่าเหมือนฟิลม์ภาพยนต์เก่าๆ ครับ
นี่ก็คงเป็นข้อดีที่ผมค้นพบครับครั้งนี้เรามาดูที่จุดด้อยกันบ้างดีกว่าที่โปรแกรมWindows Movie Maker นั้นมีจุดด้อยอะไรบ้างครับ
จุดด้อย
1.ด้วยความเป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่ายทำให้งานที่ออกมานั้นไม่มีความโดดเด่นและน่าสนใจครับ เนื่องจากTimelineของโปรแกรมWindows Movie Maker นั้นมีให้มาแค่อย่างละ1 แถบก็คือไว้สำหรับวางไฟล์วีดีโอและไฟล์ภาพนั้นมีให้แค่แถบเดียวไม่เหมือนกับโปรแกรมAdobe Premiere ที่จะสามารถเพิ่มกี่แถบก็ได้ครับ ทำให้งานออกมามีความละเอียดและสามารถซ้อนภาพได้ครับซึ่งโปรแกรมWindows Movie Maker ไม่สามารถที่จะซ้อนภาพได้ครับ
2.เอฟเฟคสำเร็จรูปที่มีมากับตัวโปรแกรมWindows Movie Maker นั้นทั้งเป็นVideo Effects หรือ Video Transitions นั้นมีมาให้น้อยกว่าโปรแกรมAdobe Premiere หลายเท่าตัวครับ ทำให้บางเอฟเฟคที่ใช้นั้นอาจจะซ้ำไปซ้ำมาทำให้น่าเบื่อครับ
3.ไม่สามารถกำหนดรูปแบบของตัวอักษรได้ครับยกตัวอย่างเช่นโปรแกรมAdobe Premiere นั้นสามารถใส่ขอบให้ตัวอักษรใส่เงาหรือแม้กระทั่งประดิษฐ์โลโก้ ภายในโปรแกรมก็ยังได้ครับซึ่งโปรแกรมWindows Movie Maker นั้นได้แค่พิมแค่ตัวอักษรและเลือกชนิดของตัวอักษรทำตัวหนา ตัวเอียง ตัวอักษรขีดเส้นใต้ได้แค่นั้นครับ
4.ไม่สามารถExport ให้ไฟล์นั้นมีความชัดระดับDVD ได้ครับ และไม่มีโปรแกรมเสริมที่ช่วยในการExport เหมือนกับโปรแกรมAdobe Premiere ที่มีโปรแกรมCanopus เป็นต้น
สรุปแล้วว่าโดยรวมโปรแกรมWindows Movie Maker นั้นเหมาะแก่งานตัดต่อวีดีโอที่เป็นงานในครอบครับหรืองานไว้ดูเล่นๆ เช่น งานปีใหม่ บันทึกเรื่องราวประทับใจต่างๆ ครับ ไม่เหมาะแก่การนำมาใช้ทำสื่อการเรียนการสอนเนื่องจากข้อจำกัดของแถบภาพไว้สำหรับวางไฟล์ภาพและแถบเสียงไว้สำหรับวางไฟล์เสียงต่างๆ นั้นมีมาให้แค่อย่างละแถบครับ จะมีเด่นจริงๆ ก็ตรงไตเติ้ลอย่างเดียวครับที่เด่นจริงๆ เพราะฉะนั้นผมจึงได้นำโปรแกรมทั้ง2โปรแกรมนี้ซึ่งก็คือโปรแกรมWindows Movie Maker และ โปรแกรมAdobe Premiere มาประยุกต์ใช้งานร่วมกันโดยดึงจุดเด่นของโปรแกรมWindows Movie Maker ซึ่งก็คือไตเติ้ลมาใช้ครับ แล้วใช้โปรแกรมAdobe Premiere มาตกแต่งในสิ่งที่โปรแกรมWindows Movie Maker ทำไม่ได้ ก็เช่นการซ้อนภาพเป็นต้นครับ ผมจะนำไปให้เพื่อนดูในวันที่ 5 มกราคม 2549 ครับ
สิ่งที่ผมได้บันทึกไว้ข้างบนนั้นเป็นประสบการณ์ทั้งหมดที่ผมได้ใช้เวลาศึกษา ขาดตกบกพร่องตรงไหนต้องขออภัยด้วยครับ หรือว่ามีบางเรื่องที่ผมไม่ได้กล่าวในนี้ก็สอบถามผมทีหลังได้นะครับยินดีตอบทุกคำถามครับ สิ่งที่บันทึกข้างบนและวันที่ผ่านๆ มานั้นไม่ได้มีการคัดลอกมาจากหนังสือแม้แต่ประโยคเดียวครับ แต่เกิดจากความเข้าใจของผมล้วนๆ ครับ ภาษาบางภาษาผมอาจจะใช้ไม่ถูกก็ต้องการอภัยทุกท่านอีก 1 ครั้งครับ ผมยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่ความรู้ให้ผู้อื่นครับ บันทึกของผมจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าไม่มีใครอ่านครับ
จิรอาจ สมิงชัย
สวัสดีค่ะน้องแจ๊ค
มาขออนุญาตเอาความรู้และ powerpoint ไปใช้ค่ะ ในบันทึกนี้ค่ะ http://gotoknow.org/blog/paew/89476