เขียนเรื่องนี้ไว้ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว อ่านแล้วคิดว่ายังคงมีประโยชน์จริง จึงขอเอามาฝากชาว GotoKnow พร้อมทั้งเก็บเป็นสมบัติของบล็อกนี้ไปด้วย เรื่องค่อนข้างยาว คงต้องแบ่งออกเป็น 3-4 ตอนนะคะ
ฉันได้มีโอกาสมาเรียนต่อที่ต่างประเทศ จนถึงตอนนี้ก็ขึ้นปีที่สี่แล้ว โดยมีลูกชายสามคน วัยกำลังเรียน ทำให้ได้มีโอกาสทั้งเรียนรู้การใช้ภาษาด้วยตนเอง และได้เห็นการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดว่า การเรียนภาษา(โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ) ของพวกเรานั้น (หมายถึงในบ้านเรา) เรียนเพื่อใช้ในการอ่านและเขียน แต่เราไม่ได้รับการสอนที่ถูกต้องในการพูด (ไม่ต้องพูดถึงการฟัง เพราะหาคุณครูคนไทยที่สอนภาษาอังกฤษแล้วพูดได้เหมือนเจ้าของภาษานั้นยากแน่นอนอยู่แล้ว) เมื่อถึงตอนที่ต้องใช้ในการสื่อสารโดยการพูดกับเจ้าของภาษาเองแล้ว เราจะรู้สึกได้ว่า สิ่งที่เราเรียนมานั้นมีส่วนบกพร่องมากมายที่ควรจะช่วยกันแก้ไข และผู้ที่จะสามารถชี้ข้อบกพร่องเหล่านั้นได้ดี ก็คือคนที่ได้เจอปัญหานั้นด้วยตนเองมาแล้ว แต่ส่วนมากพวกเราก็ยุ่งเกินกว่าจะมีเวลาจดจำปัญหาเหล่านั้น เพราะมีภาระกับการเรียนของตนเองซึ่งเป็นหน้าที่หลักสำคัญ เมื่อพ้นเวลานี้ไปแล้ว กลับบ้านเมืองไปทำงานก็ไม่มีโอกาสต้องใช้มากเท่ากับตอนที่เรียนอยู่ที่นี่ เราก็ลืมไปเสียแล้วว่า เจอปัญหาอะไรมาบ้าง โอกาสที่จะได้ช่วยกันชี้ข้อบกพร่องเหล่านั้นก็เลือนหายไปกับกาลเวลาและภาระหน้าที่ ฉันจึงคิดว่าจะถือโอกาสที่ยังเรียนอยู่ที่นี่ พร้อมทั้งมีครูสอนการพูดออกเสียงอยู่ในบ้านถึงสามคน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อกลับไปบ้านเมืองเรา ครูทั้งสามของฉันก็คงไม่มีโอกาสได้เป็นครูสอนการพูดอีกแล้ว เพราะพวกเขาจะต้องหัดเรียนการพูดภาษาไทยให้ชัด โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กซึ่งอายุ 5 ขวบ และพูดภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำกว่าภาษาไทยมาก ทั้งๆที่พยายามหัดพูดภาษาไทยอยู่ที่บ้าน ฉันได้เรียนรู้ว่า ตัวเองพูดภาษาไทยคำใดไม่ชัด ก็จากการฟังเจ้าตัวเล็กพูดภาษาไทยนี่เอง
ต่อตอนหน้าพรุ่งนี้นะคะ
ขอบคุณคุณ wwibul ค่ะที่ช่วยเสริมความ นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุดในการฝึกพูด วันหลังต้องชวนมาช่วยสอนออกเสียงที่ภาคฯได้ไหมคะ ตัวเองออกเสียงบางคำ (หลายคำ) ได้ไม่ชัดเลยค่ะ เราจะได้เสริมกันพอดี
คุณขจิต ตกลงเราจะสอนพูดภาษาอะไรกันล่ะคะนี่