การทำงานวิจัยที่คู่ขนานหรือบูรณาการไปกับปฏิบัติการเชิงสังคมเป็นงานที่ยาก ใช้เวลา และมีปัญหาให้ต้องเรียนรู้ที่คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีคุณค่าในแง่ที่ทำให้งานวิจัยมีความเป็นนวัตกรรมการจัดการสังคมอยู่ในตัวเอง ในบางกรณี จึงมีความน่าสนใจและมีคุณค่าต่อการที่นักวิจัย ตลอดจนนักพัฒนาที่เน้นการจัดการความเปลี่ยนแปลงโดยวิธีการทางความรู้ ยินดีที่จะทุ่มเทกายใจ ให้ความมุ่งมั่นอดทน
ดังนั้น การพัฒนาระเบียบวิธีและกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางการปฏิบัติ จึงต้องหมั่นค้นหาทั้งจากประสบการณ์ของผู้อื่นและการสังเคราะห์ขึ้นมาจากประสบการณ์ตรงของตนเอง ซึ่งสิ่งหนึ่งที่อาจจะเป็นประโยชน์มากก็คือ วิธีอ่านและศึกษางานวิจัยให้ได้ทั้งความรู้ ข้อมูล และเกิดพลังการริเริ่มสร้างสรรค์ที่ต่อยอดประสบการณ์ที่ได้จากแหล่งอื่นแล้วพัฒนาให้สะท้อนความเป็นตัวของตัวเองออกมา นั่นคือ การอ่านงานวิจัยให้สามารถเห็นถึงวิธีคิดและการออกแบบทางวิธีวิทยา โดยมีกรอบพิจารณาที่สำคัญ 3 มิติ คือ........
(1) วิธีได้ประเด็นและโจทย์การวิจัย ( Research Topic and Research Question Formulation)
(2) วิธีจัดกระทำกับข้อมูล (Data Manipulation)
(3) วิธีจัดการกับผลการวิจัย(Research Result Management)
วิธีคิด การออกแบบ และการปฏิบัติใน 3 มิตินี้ที่แตกต่างกัน เป็นตัวบ่งบอกถึงศิลปะของการวิจัย และอาจจะเป็นตัวชี้ขาดถึงคุณค่าและความหมายของการวิจัยเลยทีเดียว เมื่ออ่านงานวิจัย ต้องฝึกตนเองให้สามารถเห็นรายละเอียดในเรื่องเหล่านี้ และในการที่จะออกแบบ ใส่ลูกเล่น ผสมผสานกระบวนการทางสังคม ที่สะท้อนวิธีคิดและความมีศิลปะของการวิจัยของตน ก็จัดการลงไปที่องค์ประกอบที่อยู่ในมิติสำคัญ 3 มิตินี้นั่นเอง
ในการวิจัยและปฏิบัติการเชิงสังคม รวมทั้งการวิจัยที่มีลักษณะเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม (PAR : Participatory Action Research) หรือสร้างศักยภาพปัจเจกและขับเคลื่อนพลังกลุ่มประชาสังคม (CO-PAR : Community Organizing Trough Participatory Action Research) ก็เช่นกัน ใช้รายละเอียดภายในกรอบนี้เป็นแนวในการศึกษา ก็จะเห็นถึงระดับความผูกพันของประชาชนและชุมชนกับการวิจัย (Civic Engagement and Community Involvement) ว่ามีมากน้อยเพียงใดและเป็นอย่างไร
การเกิดประเด็นการวิจัยและกรรมวิธีในการจัดกระบวนการเพื่อการตั้งโจทย์การวิจัยนั้น มีอยู่มากมายหลายวิธี เช่น การศึกษางานวิจัยที่มีมาก่อน การเดินเข้าไปศึกษาค้นคว้าเรื่องของชุมชนและประชาชนในห้องสมุด (แทนที่จะเดินไปคุยกับชาวบ้าน) การร่วมประชุม การอ่านรายงานการดำเนินงาน การคิดและจินตนาการเอาโดยนักวิจัย การฟังผู้รู้ และอีกสารพัด โดยมีหลักง่ายๆว่า ลองตอบตนเอง หรือสรุปผลการอ่าน หรือถามคนรอบข้างดู หากได้คำตอบที่คลุมเครือ เหมือนกับว่าจะเป็นไปได้มากกว่าหนึ่งคำตอบ ก็ให้ทดไว้ได้ก่อนว่า เรื่องนั้นมีลักษณะที่จะต้องตอบและหาข้อสรุปอย่างเป็นระบบ ซึ่งก็คือ สามารถพัฒนาเป็นประเด็นการวิจัยได้ว่างั้นเถอะ
หากเราออกแบบสร้างศักยภาพชุมชน หรือมีกระบวนการค้นหาประเด็นความสนใจและตั้งคำถามร่วมกับประชาชน หรืออ่านงานวิจัยว่ามีการออกแบบและจัดกระบวนการดังกล่าวนี้อย่างไร เราก็จะสามารถจำแนกเชิงคุณภาพทางระเบียบวิธีของการวิจัยนั้นๆ ออกมาจัดระดับความมีจุดยืนร่วมกับชุมชนหรือเป็นของชุมชน และ ระดับการมีส่วนร่วมด้วยตนเองของชุมชน ของงานวิจัยที่เรานำมาศึกษาได้
กระบวนการเบื้องต้นนี้ หากนักวิจัยและนักพัฒนา มีประสบการณ์ หรือศึกษาค้นคว้ามาหลากหลายพอสมควร ก็จะสามารถเห็นนับแต่เบื้องต้นนี้เลยทีเดียวว่า งานวิจัยดังกล่าวนั้นจะจัดเป็นหมวดใด เป็นการผสมผสานปฏิบัติการเชิงสังคมมากน้อยเพียงใด อีกทั้งจะสามารถเห็นได้ว่ามีงานวิจัยชุมชนเป็นจำนวนมาก เป็นการทำในชุมชนเท่านั้น แต่สาระสำคัญทั้งหลายอาจจะเป็นของคนภายนอกเกือบสิ้นเชิงก็ได้ หรือการวิจัยที่ร่วมมือกันทั้งคนภายนอกและคนในชุมชน ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนมากก็ได้ ซึ่งก็ดูให้เห็นถึงวิธีคิด และการออกแบบขั้นตอนต่างๆในมิตินี้นั่นเอง
ดังนั้น ลองดูให้เห็นว่ามีวิธีสร้างประเด็นและประชาชน กลุ่มประชาสังคม มีความสามารถในการตั้งโจทย์และตั้งคำถามด้วยตนเองได้มากน้อยเพียงใด หรือมีกระบวนการช่วย มากน้อยเพียงใด อย่างไร
การจัดกระทำกับข้อมูล ตามแนวปฏิบัติทั่วไป ก็จะหมายถึงขั้นตอนต่างๆ ในการที่จะสังเกต สร้างเครื่องมือ เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และสรุปผล
การวิจัยโดยมาก มักเน้นเทคนิคเครื่องมือ เช่น เน้นแบบสอบถาม เน้นสถิติวิเคราะห์ เน้นการวิเคราะห์ การตีความ และการพรรณาของนักวิจัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ยิ่งเลือกวิธีการและออกแบบให้มีสื่อกลาง รวมทั้งลดบทบาทชุมชนและกลุ่มประชาสังคมลงไปมาเท่าใด เช่น ใช้แบบสอบถามกระดาษ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยสัมภาษณ์และประชาชนเป็นเพียงแหล่งให้ข้อมูล (Key Informant) อีกทั้งตอบได้เพียงสิ่งที่มีอยู่ในข้อคำถาม
เมื่อวิเคราะห์ก็ใช้เทคนิคที่ชุมชนหมดบทบาท เลือกวิธีใดก็เน้นรักษาวิธีการทางเทคนิคโดยไม่พิจารณาความสอดคล้องกับเงื่อนไขและบริบทของสังคมนั้นๆ เลือกวิธีการเชิงปริมาณ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง หรือผสมสาน หากอยากรู้ผลก็สามารถทำได้เพียงขอฟังการรายงาน ซึ่งก็ไม่เข้าใจ หรือมิใช่สิ่งที่ชาวบ้านต้องการรู้ เหล่านี้เป็นต้น
ดังนั้น ในมิตินี้ ก็ต้องตรวจสอบดูวิธีออกแบบ และกรรมวิธีที่ทำให้ประชาชนและกลุ่มประชาสังคมได้เข้ามาสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม ซึ่งถ้าหากเห็นนัยสำคัญของกระบวนการเหล่านี้ เราก็จะสามารถประยุกต์ใช้นวัตกรรมชุมชนและนวัตกรรมทางสังคม เป็นต้นว่า เวทีประชาคม กระบวนการกลุ่ม การจัดสุนทรียสนทนา เวทีค้นหาอนาคต เวทีแผนแม่บท กระบวนการสังคมมิติ (Sociogram) เพื่อค้นหาโครงสร้างผู้นำ (Leader Spotting) เข้ามาบูรณาการกับการวิจัยและปฏิบัติการเชิงสังคมได้มากกว่าการทำสนทนาและสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม คน และการจัดการการมีส่วนร่วมของผู้คนให้เป็นเครื่องมือวิจัยไปด้วย มีมากน้อยเพียงใด ซึ่งในมิตินี้ ก็สามารถออกแบบให้มีศิลปะของการวิจัยและปฏิบัติการเชิงสังคมได้มากเช่นกัน
วิธีจัดการกับผลการวิจัย ก็เป็นมิติที่สำคัญ ที่เราจะสามารถพิจารณาดูว่า งานวิจัยต่างๆ มีวิธีการและการออกแบบเป็นอย่างไร สิ้นสุดที่งานสรุปและเขียนรายงานเท่านั้น หรือมีลูกเล่นอย่างมีความหมายต่อไปอีก วิเคราะห์ ตีความ แล้วเขียนรายงานโดยนักวิจัยและด้วยจุดยืนทางวิชาการของนักวิจัย หรือวิเคราะห์โดยเวทีและวิธีการชุมชน ผลการวิจัยไปสิ้นสุดที่ชั้นหนังสือ หรือสะท้อนกลับไปวางแผนชุมชน เหล่านี้เป็นต้น เมื่อพิจารณาในมิตินี้ ก็จะเห็นนความแตกต่างของงานวิจัยอีกมากมายเช่นกัน
เมื่ออ่านและนำข้อมูลที่ปฏิบัติเล็กๆน้อยๆ ในมิติต่างๆ ตามกรอบนี้มาพิจารณา พร้อมกับนำความเป็นจริงของชุมชนมาคิดใคร่ครวญไปด้วย ก็ไม่เพียงจะทำให้เราอ่านงานวิจัยได้อย่างเพลิดเพลินเหมือนอ่านงานวรรณกรรมที่หลากหลายไปด้วยโลกทัศน์ของนักวิจัย วิธีคิด และศิลปะในการออกแบบทางวิธีวิทยาเท่านั้น แต่จะทำให้เราเข้าถึงสิ่งที่อยู่เหนือถ้อยคำและการพรรณาในงานวิจัย สามารถพัฒนาวิธีคิดและออกแบบกระบวนการได้อย่างยืดหยุ่น มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์และเงื่อนไขจำเพาะอันหลากหลายอยู่ตลอดเวลา.
ไม่มีความเห็น