การจัดการศึกษาที่ทรงสอนไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก คือ การสร้างสถาบันการศึกษาให้เป็น "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" เพื่อฟื้นฟูพัฒนาคนไทยทั้งประเทศให้ พออยู่ พอกิน มีความสุข มีภูมิคุ้มกันและเท่าทันโลกโมหภูมิ ทุนนิยมเสรีในทุกวันนี้
ปัญหาของการศึกษาที่สำคัญที่สุด คือ
การสอนให้คนอยากรวย ไม่ได้เน้นสอนให้พึ่งตนเองแล้วช่วยคนอื่นอย่างที่ในหลวงทรงสอนและทรงปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่าง จึงทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสและคนทิ้งถิ่นเข้าเมืองดังที่ทราบกัน (เคยสะท้อนไว้
ที่นี่)
วันนี้ผมตกผลึกในใจตนเอง ถึง รูปแบบการศึกษาที่ตรงกับปรัชญา "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" มากที่สุด ที่ว่ามากที่สุด เพราะเหมาะสมกับคนไทยส่วนใหญ่มากที่สุด ซึ่งมีที่ดิน-ที่นาเป็นของตนเอง จึงขอบันทึกแลกเปลี่ยนไว้ เพื่อค้นหานักการศึกษาที่เห็นเป็นอุดมการณ์เดียวกัน มาช่วยกันสร้าง PLC สำหรับครู-อาจารย์ที่จะมาช่วยกันขับเคลื่อนโรงเรียน-มหาวิทยาลัย ให้มีลักษณะเป็น "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ให้มากที่สุด
หลักสูตรแกนกลาง ที่ไปผิดทาง ยิ่งห่างไกลจาก "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย"ผมเคยวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง พ.ศ. ๒๕๕๑ ไว้ที่บั
นทึกนี้ สรุปไว้ว่า หลักสูตรฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเกษตรพึ่งตนเอง นั่นเป็นก้าวใหญ่ ๆ ที่เราไปผิดทางจากปรัชญา "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" และได้เสนอแนวทางการจัดการศึกษาตามหลักปรัชญานี้ไว้ ดังนี้ว่า (คัดลอกมาอีกครั้ง)
การศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย"
สอนให้เป็นคน "พอเพียง" คือ ใช้ความรู้คู่คุณธรรม (ดูคำอธิบายสมการความพอเพียง
ที่นี่) ... สร้างภูมิคุ้มกันต่อการหลงไปในโมหภูมิ (โลภะ โทสะ โมหะ) สอนให้ดำเนินชีวิตด้วยระบบเศรษฐกิจพอเพียง "พอกิน พอใช้ พออยู่ ตอบแทนบุญคุณ แบ่งปัน รักษา แบ่งปัน ให้นึกถึงการขายไว้ท้าย ๆ ของความต้องการ คือต้องไม่สอนให้คน "อยากรวย" แต่เน้นสอนให้ "อยากช่วยคนอื่น" อยากช่วยส่วนรวม เสียสละ เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน เป็นสำคัญ
- (อนุบาล ๑ ถึง ม.๓) เริ่มโดยเน้นคุณธรรมและระเบียบวินัยในเบื้องต้นด้วยการอบรมบ่มเพาะ และมุ่งการสอนชีวิตและความเป็นคนที่พึ่งตนเองด้วยหลัก "พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น" ... เด็กจะรู้จักและภูมิใจในชุมชน ท้องถิ่น และประเทศของตนเอง มีจิตสำนึกที่จะพัฒนาตนเอง (เรียนรู้) เพื่อจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนา(เป็นคนที่มีคุณค่าต่อ)ชุมชน สังคม ประเทศชาติ
- (ม.๔-ป.ตรี) เรียนเน้นเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะตามความถนัดและความสนใจของตน (ที่ได้บ่มเพาะมาดี) อย่างเต็มที่ ... เป้าหมายคือทักษะอาชีพ
- (วัยทำงานหรือศึกษาต่อบัณฑิตศึกษา) เน้นให้เป็นไปเพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้ดีต่อส่วนรวม
- (วัยชรา) สอน ถ่ายทอดประสบการณ์ บริหารจัดการ เป็นผู้นำชุมชนสังคมประเทศ และศึกษาค้นพัฒนาตนเองสู่การหลุดพ้นแห่งทุกข์
ตัวอย่างของโรงเรียนที่กำลังสืบสานพระราชปณิธานนี้อย่างจริงจังวันพุธที่ผ่านมา (๑๙ มิ.ย. ๖๒) ที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปเยี่ยมถอดบทเรียนคุณครูวรารัตน์ ภูเฉลิม ครูเพื่อศิษย์อีสานประจำปีการศึกษา ๒๕๖๑ ที่โรงเรียนมะค่าพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม โรงเรียนที่มีเอกลักษณ์คือ "ความพอเพียง" และกำหนดวิสัยทัศน์ชัดเจนว่าจะเป็น "องค์กรแห่งการเรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม นำภูมิปัญญา พัฒนาท้องถิ่น" (คลิกดูประวัติโรงเรียน
ที่นี่)
ขอเล่าด้วยภาพก่อนนะครับ บันทึกต่อไป จะนำเอาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนมะค่าพิทยาคม อันเป็นแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ของโรงเรียนและของคุณครูวรารัตน์ มาเล่าแลกเปลี่ยนต่อไป
- เนื้อที่ของโรงเรียนประมาณ ๖๐ ไร่ ทั้งหมด อาจเรียกได้ว่า เป็น "วนเกษตร" ได้ไม่ผิด มีทั้งป่า สวน และไร่นาสาธิต ฯลฯ
- คุณครูวรารัตน์ ยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ซ้ายสุดครับ เราถ่ายภาพนี้หลังจากที่นักเรียนนำเสนอโครงการปุ๋ยโดนัทจาเศษใบไม้จากป่าโรงเรียน ... เริ่มตั้งแต่กระบวนการผลิตอาหารสำหรับพืช
- โรงเรียนได้รวบรวมเรื่องราวทั้งหมด ไว้นำเสนอสำหรับผู้มาดูงาน ที่ห้อง "ศาสตร์พระราชา" น้อง ๆ นักเรียนแกนนำ จะทำหน้าที่อธิบายและพาเดินดูอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
- ในห้องมีผลิตภัณฑ์แปรรูปสาธิต ในรูปเป็นเปลไม้ไผ่ ที่นักเรียนได้รับวิชามาจากภูมิปัญญา ที่เชิญมาเป็นวิทยากรอบรมให้นักเรียน
- มีพืชผักพื้นบ้านภูมิปัญญามากมาย ในรูปนี้คือ ต้นชะมวง สมุนไพรไทย เอาแกงใส่ขาหมูอร่อยนักแล
- ผมถามนักเรียนว่า ทำไมต้นมะตูม ถึงสำคัญยิ่งนักในเมืองไทย ก่อนจะมอบไว้เป็นการบ้านว่า ทำไมพระมหากษัตริย์ไทย ต้องเอาใบมะตูมใช้ทัดเนบพระกัณฑ์ไว้ในราชพิธีสำคัญ ๆ ... มะตูมเป็นไม้มงคลอย่างยิ่ง
- ส่วนนี้เป็นสวนพริกไทย ทุกต้นจะมีป้ายติดไว้ว่า นักเรียนคนใดต้องเป็นผู้ดูแล โดยบูรณาการกับกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ต่าง ๆ ของโรงเรียน
- แปลงนาสาธิต ที่นักเรียนใช้เป็นพื้นที่ทำทดลองต่าง ๆ ในการทำโครงงาน
- ไผ่ มีหลายสายพันธุ์ ไผ่เลี้ยง ไผ่กิมซุง ไผ่ซางหม่น ไผ่บงหวาน ไผ่ข้าวหลาม ฯลฯ
ยังมีพืชพันธุ์อื่น ๆ อีกทั่วโรงเรียน เสียดายไม่เวลาจำกัดนัก... "คนค้นครู" จะกลับไปถอดบทเรียนคุณครูวารารัตน์มาเล่าให้ฟังใหม่อีกรอบครับ
สไลด์สองแผ่นสุดท้าย เป็นบทสรุปที่เขียนไว้ในอย่างกระทัดรัด สำหรับท่านที่สนใจครับ