ภายหลังการเข้าร่วมโครงการ “สานสัมพันธ์มิตรภาพไทย-ลาว ครั้งที่ 13” เราได้สรุปบทเรียนผ่านกระบวนการต่างๆ เป็นต้นว่า เรื่องเล่าเร้าพลัง เล่มรายงาน จัดวงโสเหล่-สัมภาษณ์ รวมถึงการวิจัย (อยู่ระหว่างการประมวลผล)
โครงการสานสัมพันธ์มิตรภาพไทย-ลาว ครั้งที่ 13 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28-31 มกราคม 2559 โดยมีมหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นเจ้าภาพ ประกอบด้วยวัตถุประสงค์หลักคือการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนว่าด้วยเรื่อง “ศิลปวัฒนธรรม”
ว่าไปแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะกิจกรรมหลักหยัดยืนด้วย “ทุนทางวัฒนธรรม” อย่างไม่ผิดเพี้ยน นับตั้งแต่การแสดงบนเวทีของแต่ละมหาวิทยาลัย (ทั้งจากประเทศไทยและ สปป.ลาว) รวมถึงการทัศนศึกษาสถานที่สำคัญๆ เช่น วัดวาอาราม พิพิธภัณฑ์ชุมชน การเรียนรู้จากปากคำและภาคสนามของปราชญ์ชาวบ้าน
ผมยืนยันเช่นนั้น เพราะกิจกรรมหลักเป็นเช่นนั้นจริงๆ ยิ่งเมื่อใคร่ครวญดูกิจกรรมการบริการสังคม ยิ่งดูไม่หนักแน่นเป็นรูปธรรมมากนัก เพราะภาพรวมล้วนเป็นไปตามครรลองเดิมบนฐานคิดแห่งการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม อันหมายถึงศิลปะการแสดงในมิติดนตรี ขับร้องและนาฏศิลป์ หรือการละเล่นเสียมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ โดยส่วนตัวผมแล้ว จึงยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นกิจกรรม “เรียนรู้คู่บริการ” (Service Learning) อย่างแท้จริง
กระนั้นก็ยังต้องชื่นชมเจ้าภาพอย่างมหาวิทยาลัยนเรศวรอยู่ดี เพราะไม่ได้ย่ำเท้าอยู่กับที่ ทว่ากล้าที่จะแตกกิ่งก้านกิจกรรมจากเดิมคือที่มักคุ้นอยู่กับการเผยแพร่-แลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียว ก็บูรณาการสู่กิจกรรมบริการสังคมผ่านงานบำเพ็ญประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ถึงจะไม่มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเอาซะเลย
กระบวนการเตรียมความพร้อมสู่สถานการณ์จริงของ มมส
กรณีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ต้องยอมรับว่ามีกระบวนการออกแบบการเรียนรู้แก่นิสิตในหลายเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ถึงแม้จะไม่บรรลุซึ่งวัตถุประสงค์เสียทั้งหมด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการหนุนเสริมการเรียนรู้แก่นิสิตอย่างเป็นรูปธรรม ควรค่าต่อการใส่ใจและต่อยอดให้เกิดพลังแห่งการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงเชิงสร้างสรรค์ขึ้นเรื่อยๆ ตามกระแสธาร “การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21” เช่น
มิหนำซ้ำในช่วงการเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยนเรศวร ทีมทำงานได้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้บนรถบัสโดยมอบหมายให้นิสิตได้ทำการบอกเล่าข้อมูลสำคัญๆ ของจังหวัดที่เดินทางผ่านสู่กันฟัง เช่น ขอนแก่น ชัยภูมิ เลย พิษณุโลก ผสมผสานกับกิจกรรมนันทนาการบนรถบัส เพื่อเสริมสร้างสัมพันธภาพและความเป็นทีมในแบบฉบับ “บันเทิงเริงปัญญา”
นอกจากนั้นเมื่อจัดกิจกรรมในแต่ละวันเสร็จสิ้นลง ยังมีการประชุมเป็นการภายในเฉพาะมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อสรุปผลการเรียนรู้ร่วมกันด้วยอีกต่างหาก เท่านั้นยังไม่พอ ในช่วงเช้าก็มีการพบปะกันอีกรอบเพื่อบอกย้ำถึงภารกิจที่จะมีขึ้น หรือกระทั่งเสร็จกิจกรรมแล้วยังต้องเขียนเนื่องเล่าเร้าพลังคนละเรื่อง เป็นการจัดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างบุคลากรและนิสิตในครรลองของ PDCA และ KM
ผลพวงของการเรียนรู้
นี่คือส่วนหนึ่งอันเป็นผลการเรียนรู้ที่นิสิตได้สะท้อนคืนกลับมาผ่านเรื่องเล่าเร้าพลัง ผ่านการให้สัมภาษณ์ ผ่านเอกสารสรุปโครงการ หรือกระทั่งแบบสอบถามจากงานวิจัย เช่น
ว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมและถ่ายทอดความรู้ผ่านการปฏิบัติการจริง
ว่าด้วยการได้รับองค์ความรู้ใหม่
ว่าด้วยการบริการสังคม
ว่าด้วยทักษะชีวิตและสังคม
ว่าด้วยการเรียนรู้ตัวเองและเครือข่าย
ว่าด้วยปัญหาและอุปสรรค
ว่าด้วยการเรียนรู้ครั้งใหม่
หมายเหตุ
1.ภาพ : งานประชาสัมพันธ์และสารสนเทศนิสิต ม.มหาสารคาม
2.สถาบันที่เข้าร่วม :
ดีแล้วน่าทำต่อเนื่องผมหมายถึงดึงวัฒนธรรมสี่ภาคเข้าร่วมด้วยในการจัดงานครั้งต่อไปนะครับคุณแผ่นดิน
มีมอผมด้วย ใครไปหนอ?
ทำงานอย่างต่อเนื่อง ดีค่ะ
ครับ อ. ยูมิ
ตอนนี้กลุ่มเป้าหมายหลัก ยึดโยงในสายอีสาน-เหนือ ในแบบ "ล้านนา-ล้านช้าง" แต่เข้าใจว่าในอนาคตคงได้ขยายเครือข่ายภาคีมากขึ้น
ในเชิงโครงสร้างระบบนั้น มหาวิทยาลัยฯ ที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิก จะต้องเข้าสังเกตการณ์อย่างน้อย 1 ปี โดยธรรมเนียมมหาวิทยาลัยใดเป็นเจ้าภาพ ก็จะเทียบเชิญมหาวิทยาลัยในเครือข่ายเข้ามาสังเกตการณ์ก่อน 1 ปี ปีถัดไปจึงขยับเข้าเป็นสมาชิกเต็มตัว
หากแต่งานหลักเน้นการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมเป็นหลัก มีปีนี้ครับ เริ่มมีกลิ่นอาย "ชุมชนเป็นห้องเรียน" ที่เด่นชัดมากขึ้น และมีกลิ่นอายบริการสังคมในมิติบำเพ็ญประโยชน์มากขึ้น
สวัสดีครับ อWasawat Deemarn.
งานทำนองนี้ เจ้าภาพหลักของแต่ละมหาวิทยาลัยจะเป็น "ฝ่ายพัฒนานิสิตนักศึกษา" ครับ มหาวิทยาลัยอื่นๆ ไม่ค่อยยกวงไปเล่นสด แต่ ม.มหาสารคาม ไปร่วมทุกครั้ง จะยกวงไปเล่นสด ไม่เปิดแผ่นครับ 555
ครับ พี่ แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช
ในครั้งที่ ม.มหาสารคาม เป็นเจ้าภาพ ครั้งที่ 10 ก็สังเคราะห์ชุดความรู้เชิงปรากฏการณ์สำคัญในวาระ "1 ทศวรรษไทย-ลาวสัมพันธ์"
รวมถึงพยายามสร้างฐานข้อมูลไว้ เพื่อส่งต่อไปยังเจ้าภาพปีถัดไป.... โดยส่วนตัวก็ดีใจที่กิจกรรมยังคงเดินทางเรื่อยๆ หากแต่ก็มีคำถามเหมือนกันว่า จะสามารถยกระดับกิจกรรมสู่เชิงคุณภาพได้มากขึ้นอย่างไร