อนุทินล่าสุด


Vanattapong Sukhontachadnan
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่บัทึก  19  ธันวาคม  2556

ครอบครัวของ ด.ญ.  แมเดอร์ลิน  อารีสตี้

เรื่อง

เครื่องคิกเลข

เครื่องคิดเลขอิเล็กทรอนิกส์ มักเรียกโดยย่อว่า เครื่องคิดเลข หรือ เครื่องคำนวณ คือเครื่องมือhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%8C">อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สำหรับดำเนินการทางhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%95">เลขคณิตพื้นฐานหรือซับซ้อน มักมีขนาดเล็ก พกพาได้ และราคาไม่แพง เครื่องคิดเลขสมัยใหม่พกพาสะดวกกว่าhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C">คอมพิวเตอร์เป็นส่วนมาก อย่างไรก็ตาม http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD">พีดีเอก็มีขนาดพอ ๆ กับเครื่องคิดเลขมือถือและอาจมีบทบาทเข้ามาแทนที่

เครื่องคิดเลขอิเล็กทรอนิกส์แบบhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%95">โซลิดสเตตเครื่องแรกผลิตขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1960 ซึ่งสร้างโดยใช้หลักการของเครื่องมือคำนวณในประวัติศาสตร์ อย่างเช่นhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94">ลูกคิดที่ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตกาล และhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5">เครื่องคิดเลขเชิงกลที่ประดิษฐ์ในhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_17">คริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้น เครื่องคิดเลขอิเล็กทรอนิกส์มีพัฒนาการควบคู่ไปกับคอมพิวเตอร์แอนะล็อกในสมัยนั้น

เครื่องคิดเลขขนาดกระเป๋าเริ่มจำหน่ายในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A5">อินเทลประดิษฐ์http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C">ไมโครโพรเซสเซอร์ชิ้นแรก (อินเทล 4004) ให้กับเครื่องคิดเลขของบิซซิคอม (Busicom)

เครื่องคิดเลขอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่มีหลากหลายแบบตั้งแต่ขนาดเท่าhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95">บัตรเครดิต ราคาถูก แจกฟรี ไปจนถึงขนาดตั้งโต๊ะ แข็งแรง มีhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B9%8C">เครื่องพิมพ์ในตัว เครื่องคิดเลขเป็นที่นิยมในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1970 เนื่องจากการคิดค้นhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1">วงจรรวมทำให้เครื่องคิดเลขมีขนาดเล็กลงและราคาถูกลง ในช่วงปลายทศวรรษนั้น ราคาของเครื่องคิดเลขก็ลดลงจนถึงระดับที่ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อได้ และกลายเป็นเครื่องมือสามัญในโรงเรียน

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C">ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ย้อนไปจนถึงhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%8C">ยูนิกซ์รุ่นแรก ๆ ก็บรรจุโปรแกรมคำนวณเลขมาด้วยอย่าง http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B8%B5_(%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C)&action=edit&redlink=1">ดีซี (dc) และ ภาษาฮอก (hoc) และฟังก์ชันที่เกี่ยวกับการคำนวณก็ถูกบรรจุลงในอุปกรณ์ประเภทพีดีเอแทบทุกชนิด

นอกเหนือจากเครื่องคิดเลขสำหรับจุดประสงค์ทั่วไปแล้ว ก็ยังมีเครื่องคิดเลขที่ออกแบบมาเพื่อตลาดเฉพาะทาง ตัวอย่างเช่น http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C">เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์ที่บรรจุฟังก์ชันการคำนวณhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4">ตรีโกณมิติและhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4">สถิติ เป็นต้น เครื่องคิดเลขบางชนิดก็สามารถประมวลพีชคณิตคอมพิวเตอร์ได้ เครื่องคิดเลขกราฟิกก็สามารถใช้วาดhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99">กราฟของฟังก์ชันที่นิยามบนเส้นจำนวนจริงหรือมิติที่สูงกว่าในปริภูมิแบบยุคลิดได้

ในปี ค.ศ. 1986 จำนวนเครื่องคิดเลขคิดเป็น 41% ของปริมาณฮาร์ดแวร์ทั่วโลกที่มีจุดประสงค์ทั่วไปสำหรับคำนวณสารสนเทศ อัตรานี้ลดต่ำลงจนเหลือน้อยกว่า 0.05% เมื่อ ค.ศ. 2007 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%82#cite_note-HilbertLopez2011-1">[1]

 

 

การออกแบบ

 

เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์กำลังแสดงเศษส่วนและจำนวนทศนิยมที่เทียบเท่า

เครื่องคิดเลขอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่มีแผงปุ่มซึ่งประกอบด้วยhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%94">เลขโดดและการดำเนินการทางเลขคณิตต่าง ๆ บางเครื่องก็มีปุ่ม 00 และ 000 ด้วยเพื่อให้ป้อนจำนวนขนาดใหญ่ง่ายขึ้น แต่ละปุ่มบนเครื่องคิดเลขพื้นฐานส่วนใหญ่ใช้แทนเลขโดดตัวเดียวหรือการดำเนินการอย่างเดียว อย่างไรก็ตามในเครื่องคิดเลขที่เฉพาะทางยิ่งขึ้น ปุ่มใดปุ่มหนึ่งสามารถทำงานได้หลายอย่างโดยกดร่วมกับปุ่มอื่นหรือขึ้นอยู่กับโหมดการคำนวณปัจจุบัน

เครื่องคิดเลขมักจะมีหน้าปัดแสดงผลเป็นhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7">จอภาพผลึกเหลวแทนที่จอภาพเรืองแสงสุญญากาศในอดีต ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%82#.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.9E.E0.B8.B1.E0.B8.92.E0.B8.99.E0.B8.B2.E0.B8.94.E0.B9.89.E0.B8.B2.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.84.E0.B8.99.E0.B8.B4.E0.B8.84">การพัฒนาด้านเทคนิคhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99">เศษส่วนอย่างเช่น 13 จะแสดงเป็นค่าประมาณในจำนวนทศนิยมที่ถูกปัดเศษ 0.33333333 เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์หลายรุ่นสามารถทำงานกับเศษส่วนหรือจำนวนคละได้ แต่กับเศษส่วนบางจำนวนเช่น 17 ซึ่งเท่ากับประมาณ 0.14285714285714 (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D">เลขนัยสำคัญ 14 หลัก) อาจจำแนกได้ยากในจำนวนทศนิยม

เครื่องคิดเลขมีความสามารถในการบันทึกจำนวนลงในhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B3">หน่วยความจำ เครื่องชนิดพื้นฐานสามารถบันทึกจำนวนได้เพียงจำนวนเดียวในเวลาหนึ่ง ๆ เครื่องชนิดเฉพาะทางมากขึ้นสามารถบันทึกได้หลายจำนวนแสดงด้วยhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3">ตัวแปรต่าง ๆ ตัวแปรเหล่านั้นก็สามารถใช้สร้างสูตรทางคณิตศาสตร์ได้ บางรุ่นมีความสามารถในการขยายเนื้อที่หน่วยความจำเพื่อให้บันทึกจำนวนได้มากขึ้น โดยตำแหน่งที่ขยายออกไปจะถูกอ้างถึงด้วยดัชนีของhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A">แถวลำดับ

แหล่งพลังงานของเครื่องคิดเลขคือhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88">แบตเตอรี่ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B0">เซลล์สุริยะ หรือhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2">ไฟฟ้า (สำหรับเครื่องรุ่นเก่า) เปิดเครื่องด้วยสวิตช์หรือปุ่มเปิด บางรุ่นไม่มีแม้กระทั่งปุ่มปิดแต่ก็มีบางวิธีที่ทำให้เครื่องปิดได้เช่น ปล่อยทิ้งไว้ไม่ดำเนินการใด ๆ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปิดคลุมแผงเซลล์สุริยะ หรือปิดฝาครอบ เป็นต้

 

                                                                                          



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

Vanattapong Sukhontachadnan
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่บันทึก  19  ธันวาคม 2556

ครอบครัวของ ด.ญ. แมเดอร์ลิน   อารีสตี้

เรื่อง

การเลือกใช้  การเก็บเครื่องมือ  เครื่องใช้ในการทำการเกษตร

 

เครื่องมือ เครื่องใช้ในการทำการเกษตรมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีวิธีใช้ และการดูแลรักษาต่างกัน

 

1.  มีดตอนกิ่งติดตา ต่อกิ่ง     ใช้ควันกิ่งที่จะตอนติดตาและต่อกิ่ง

2.  มีดดายหญ้า  ใช้ดายหญ้าหรือลิดกิ่งไม้ที่มีเนื้อไม้ไม่แข็งมาก

3.  กรรไกรตัดหญ้า  ใช้ตัดหญ้าที่ไม่สูงนัก หรือใช้ ตัดแต่งหญ้าให้เรียบเสมอกัน

4.  กรรไกรตัดกิ่ง  ใช้ตัดแต่งกิ่งไม้ให้ได้รูปทรงตามต้องการ

5.  เลื่อยตัดแต่ง กิ่งไม้    ใช้ตัดแต่งกิ่งไม้ขนาดใหญ่ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางของกิ่งใหญ่กว่า 1 นิ้วขึ้นไป

6.  ถังน้ำ  ใช้ตักน้ำรดต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่

7.  บัวรดน้ำ  ใช้รดน้ำต้นกล้า หรือพืชที่ปลูกอยู่ในกระถาง

8. ปุ้งกี๋    ใช้ขนดิน ปุ๋ย หรือเศษหญ้าเศษใบไม้

9. ช้อนปลูก   ใช้ขุดหลุมปลูก พรวนดิน และย้ายต้นกล้า

10. ส้อมพรวน ใช้พรวนดินให้ร่วนซุย

11. เสียม    ใช้ขุดหลุมปลูก ขุดดิน ขุดหลุมขนาดเล็ก ขุดหลุมที่ลึกๆ และใช้ย่อยดิน

12. คราด   ใช้ย่อยดินให้ร่วนซุย ใช้ลากหญ้าหรือใบไม้ที่ตัดทิ้งไว้ออกจากแปลงปลูก และใช้เกลี่ยหน้าดินให้เรียบ

13. จอบ  จอบขุด ใช้สำหรับขุดดินที่ค่อนข้างแข็ง  ส่วนจอบถาก ใช้สำหรับถากหน้าดิน หรือดายหญ้า

14. พลั่ว    พลั่วตัก ใช้สำหรับตักดิน ปุ๋ย หรือทราย ส่วนพลั่วขุดใช้สำหรับขุดหลุมหรือขุดดินเพื่อนำดินไปตากแดดฆ่าเชื้อโรค

                                     หลักการใช้เครื่องมือเครื่องใช้ในการทำการเกษตร

1. รู้จัก และเลือกใช้เครื่องมือได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับการใช้งาน

2. รู้วิธีการใช้เครื่องมือและใช้อย่างถูกต้อง ใช้อย่างระมัดระวัง ไม่ประมาท

3. ไม่ควรใช้เครื่องมือเล่นหยอกล้อกับเพื่อน เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุ และเกิดอันตรายได้

4. ก่อนใช้เครื่องมือใดๆ ก็ตาม ต้องตรวจดูสภาพของเครื่องมือให้พร้อมที่จะใช้งาน ถ้าเครื่องมือชำรุดต้องซ่อมให้เรียบร้อยก่อนนำไปใช้

5. หลังใช้เครื่องมือเสร็จแล้ว ควรตรวจสอบว่า เครื่องมือชำรุดหรือไม่ถ้าชำรุดให้ซ่อมแซมแล้วจึงทำความสะอาด จัดเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อยมิดชิด เพื่อสะดวกและปลอดภัยต่อการหยิบใช้งาน 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

Vanattapong Sukhontachadnan
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่บันทึก  3  ธันวาคม  พ.ศ. 2556

ครอบครัวของ ด.ญ.  แมเดอร์ลิน   อารีสตี้

เรื่อง

โทษและพิษภัยของสารเสพติด
  เนื่องด้วยพิษภัยหรือโทษของสารเสพติดที่เกิดแก่ผู้หลงผิดไปเสพสารเหล่านี้เข้า ซึ่งเป็นโทษที่มองไม่เห็นชัด เปรียบเสมือนเป็นฆาตกรเงียบ ที่ทำลายชีวิตบุคคลเหล่านั้นลงไปทุกวัน ก่อปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสุขภาพ ก่อความเสื่อมโทรมให้แก่สังคมและบ้านเมืองอย่างร้ายแรง เพราะสารเสพย์ติดทุกประเภทที่มีฤทธิ์เป็นอันตรายต่อร่างกายในระบบประสาท สมอง ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการของร่างกายและชีวิตมนุษย์ การติดสารเสพติดเหล่านั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นแก่ร่างกายเลย แต่กลับจะเกิดโรคและพิษร้ายต่างๆ จนอาจทำให้เสียชีวิต หรือ เกิดโทษและอันตรายต่อครอบครัว เพื่อนบ้าน สังคม และชุมชนต่างๆ ต่อไปได้อีกมาก
โทษทางร่างกาย และจิตใจ
1สารเสพติดจะให้โทษโดยทำให้การปฏิบัติหน้าที่ ของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเสื่อมโทรม พิษภัยของสารเสพย์ติดจะทำลายประสาท สมอง ทำให้สมรรถภาพเสื่อมลง มีอารมณ์ จิตใจไม่ปกติ เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น วิตกกังวล เลื่อนลอยหรือฟุ้งซ่าน ทำงานไม่ได้ อยู่ในภาวะมึนเมาตลอดเวลา อาจเป็นโรคจิตได้ง่าย
2. ด้านบุคลิกภาพจะเสียหมด ขาดความสนใจในตนเองทั้งความประพฤติความสะอาดและสติสัมปชัญญะ มีอากัปกิริยาแปลกๆ เปลี่ยนไปจากเดิม
3. สภาพร่างกายของผู้เสพจะอ่อนเพลีย ซูบซีด หมดเรี่ยวแรง ขาดความกระปรี้กระเปร่าและเกียจคร้าน เฉื่อยชา เพราะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ปล่อยเนื้อ ปล่อยตัวสกปรก ความเคลื่อนไหวของร่างกายและกล้ามเนื้อต่างๆ ผิดปกติ
4ทำลายสุขภาพของผู้ติดสารเสพติดให้ทรุดโทรมทุกขณะ เพราะระบบอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายถูกพิษยาทำให้เสื่อมลง น้ำหนักตัวลด ผิวคล้ำซีด เลือดจางผอมลงทุกวัน
5. เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เพราะความต้านทานโรคน้อยกว่าปกติ ทำให้เกิดโรคหรือเจ็บไข้ได้ง่าย และเมื่อเกิดแล้วจะมีความรุนแรงมาก รักษาหายได้ยาก
6. อาจประสบอุบัติเหตุได้ง่าย สาเหตุเพราะระบบการควบคุมกล้ามเนื้อและประสาทบกพร่อง 
ใจลอย ทำงานด้วยความประมาท และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุตลอดเวลา
7เกิดโทษที่รุนแรงมาก คือ จะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ถึงขั้นอาละวาด เมื่อหิวยาเสพติดและหายาไม่ทัน เริ่มด้วยอาการนอนไม่หลับ น้ำตาไหล เหงื่อออก ท้องเดิน อาเจียน กล้ามเนื้อกระตุก กระวนกระวาย และในที่สุดจะมีอาการเหมือนคนบ้า เป็นบ่อเกิดแห่งอาชญากรรม
โทษพิษภัยต่อครอบครัว
1ความรับผิดชอบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องจะหมดสิ้นไป ไม่สนใจที่จะดูแลครอบครัว
2ทำให้สูญเสียทรัพย์สิน เงินทอง ที่จะต้องหามาซื้อสารเสพติด จนจะไม่มีใช้จ่ายอย่างอื่น และต้องเสียเงินรักษาตัวเอง 
3ทำงานไม่ได้ขาดหลักประกันของครอบครัว และนายจ้างหมดความไว้วางใจ
4สูญเสียสมรรถภาพในการหาเลี้ยงครอบครัว นำความหายนะมาสู่ครอบครัวและญาติพี่น้อง

  ผู้ที่ติดสารเสพติดนอกจากจะเป็นผู้ที่มีความรู้สึกว่าตนเองด้อยโอกาสทางสังคมแล้ว ยังอาจมีพฤติกรรมนำไปสู่ปัญหาด้านต่างๆ แก่สังคมได้ เพราะ
1. ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม และอุบัติเหตุอันตรายต่างๆ ต่อตนเองและผู้อื่นได้ง่ายตลอดจนเป็นปัญหาของโรคบางอย่าง เช่น โรคเอดส์
2. ถ่วงความก้าวหน้าของชุมชน สังคม โดยเป็นภาระต่อส่วนรวม ที่ประชาชนต้องเสียภาษีส่วนหนึ่งมาใช้ในการปราบปรามบำบัดผู้ที่ติดสารเสพติด
3. สูญเสียแรงงานโดยไร้ประโยชน์บั่นทอนประสิทธิภาพ ของผลผลิต ทำให้รายได้ของชาติในส่วนรวมกระทบกระเทือน และเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจของชาติ
4. เนื่องจากสภาพเป็นคนอมโรคมีความประพฤติและบุคลิกลักษณะ เสื่อมจนเป็นที่รังเกียจ
ของสังคม ทำให้เป็นคนไร้สติในวงสังคม โอกาสที่จะประกอบกิจที่ผิดศีลธรรมเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งเสพย์ติด เช่น พูดปด ขโมย หรือกลายเป็นอาชญากร เพื่อแสวงหาเงินซื้อสารเสพติดสิ่งเหล่านี้ล้วนทำลายอนาคตทำลายชื่อเสียงของตนเองและวงศ์ตระกูล
โทษที่ก่อให้เกิดกับส่วนรวมและประเทศชาติ
รัฐบาลต้องสูญเสียกำลังคน และงบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาล เพื่อใช้ในการป้องกันปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดสารเสพติด ทำให้ต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคลอันมีค่า เกิดความไม่สงบสุขของบ้านเมือง ความมั่นคงของประเทศชาติถูกกระทบกระเทือน ประชาชนเดือนร้อนเพราะเหตุอาชญากรรม ประเทศชาติต้องสูญเสียกำลังของชาติอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะผู้ติดสารเสพติดเป็นเยาวชน
การป้องกันการติดยาเสพติด
การป้องกันตนเอง
1. ควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกวิธี และเหมาะสมกับการเจ็บป่วย
2. ไม่ทดลองเสพสิ่งเสพติดทุกชนิด หรือเสพสิ่งที่รู้ว่ามีภัย เพราะติดง่าย เลิกยาก และมี
อันตรายต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ
3. การคบเพื่อนควรเลือกคบเพื่อนที่ดี หลีกเลี่ยงเพื่อนที่ชอบชักจูงไปในทางเสื่อมเสีย
4. ควรรู้จักใช้ความคิด และใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหา กรณีที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
ด้วยตนเอง ควรปรึกษา พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ หรือญาติผู้ใหญ่ที่สนิทและ

ไว้วางใจมาช่วยแก้ไขปัญหา
5. รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

Vanattapong Sukhontachadnan
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่บันทึก  3  ธันวาคม 56

คอบครัวของ  ด.ญ. แมเดอร์ลิน  อารีสตี้

เรื่อง

10 ข้อดีของการอ่าน

  1. กระตุ้นการทำงานของสมอง
        สมองก็เป็นอวัยวะอย่างหนึ่งในร่างกายที่ต้องการการออกกำลัง เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการทำงานให้ลื่นไหลไม่ติดขัดอยู่เสมอและจากการวิจัยทางการแพทย์ก็พบว่าการอ่านหนังสืออยู่เสมอจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง และกระตุ้นกระบวนการคิดทำให้ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ และโรคความจำเสื่อม เพราะการใช้สมองคิดตามสิ่งที่อ่านจะทำให้สมองได้ทำงานอยู่ตลอดนั่นเอง
  2. ลดความเครียด
      ไม่เพียงแต่กระตุ้นการทำงานของสมองแต่การอ่านหนังสือยังมีข้อดีที่น่าสนใจอย่างช่วยลดความเครียดได้ด้วยโดยนักจิตวิทยาได้แนะนำว่า การอ่านหนังสือนิยายหรือหนังสือที่เราชอบในช่วงเวลาที่มีความเครียดจากงานหรือสิ่งที่เจอในชีวิตประจำวัน จะทำให้ความเครียดที่มีอยู่หายไปได้เพราะเมื่อเรามีสมาธิในการอ่านหนังสือที่อยู่ในมือเราก็จะลืมเลือนเรื่องที่กำลังกังวล หรือเรื่องที่กำลังเครียดอยู่โดยอัตโนมัติ เผลอๆ ข้อคิด หรือมุมมองดี ๆ ที่ได้จากหนังสือก็อาจจะช่วยให้เรื่องที่กำลังเครียดอยู่กลายเป็นเรื่องสิว ๆ ไปเลยก็ได้
  3. ให้ความรู้
      แน่นอนอยู่แล้วว่าเมื่อเราอ่านหนังสือ เราก็จะได้ความรู้หรือข้อคิดอะไรบางอย่างกลับมาและไม่จำเป็นต้องเป็นหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยสาระความรู้เสมอไปหนังสือนิยายรักหวานแหว หรือหนังสือการ์ตูนก็สามารถให้อะไรกับเราได้ไม่มากก็น้อยเช่นกันอย่างน้อยที่สุดก็ต้องให้ความบันเทิงกับเราล่ะ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหนังสือประเภทไหนก็หยิบมาอ่านเถอะค่ะ รับรองว่ายังไงก็ได้ประโยชน์แน่นอน
  4. ได้สำนวนภาษา
      หากลองสังเกตดี ๆ จะรู้ว่าการอ่านหนังสือนั้นช่วยให้เราได้เรียนรู้สำนวนภาษา คำศัพท์ วิธีการพูดอย่างสละสลวยนุ่มนวล ยิ่งถ้าได้อ่านหนังสือภาษาต่างประเทศ หรือหนังสือแปลเราก็จะมีโอกาสได้เรียนรู้คำศัพท์ และสำนวนใหม่ ๆ ไม่รู้จักจบสิ้นไม่เชื่อลองสังเกตสำนวนการพูดหรือสำนวนการเขียนของคนที่ชอบอ่านหนังสือดูก็ได้แล้วจะได้เห็นความแตกต่าง ว่าเขาสามารถพูดจา และเขียนหนังสือได้อย่างไม่สะดุดอ่านก็ลื่นตา ฟังก็ลื่นหู เห็นได้ชัดว่ายิ่งอ่าน ก็ยิ่งได้ประโยชน์ดี ๆต่อตัวคุณเองอย่างไม่น่าเชื่อเลยเนอะ
  5. ช่วยกระตุ้นความจำ
      เมื่อเราอ่านหรือรับอะไรก็ตามเข้าไปในสมองสมองจะสั่งการเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ในส่วนหนึ่งของสมองที่มีไว้สำหรับการจดจำข้อมูล และเรียกใช้ได้อย่างทันทีเมื่อจำเป็นดังนั้นเมื่อเราอ่านหนังสือมาก สมองก็จะได้ทำงาน เก็บข้อมูลและเรียบเรียงข้อมูลใหม่เพื่อให้เราสามารถจำอะไรได้ดีขึ้น เราจึงสามารถเรียนรู้และจดจำได้อย่างดีไม่มีลืม

 

 

 

  1. บริหารกระบวนการคิดวิเคราะห์
      ทุกครั้งที่ได้อ่านหนังสือที่มีเงื่อนงำหรือมีปมที่ต้องคิดตาม สมองของเราก็จะพยายามขบคิดปมปัญหานั้น ๆและหาทางออกด้วยตัวเอง เช่นกันกับเวลาที่ได้ดูหนังแนวสืบสวนสอบสวนเราก็จะพยายามคลำหาคำตอบอยู่ในใจไปพร้อม ๆ กับเนื้อเรื่องซึ่งก็จะทำให้กระบวนการคิดวิเคราะห์ของเราได้ทำงาน บริหารตัวเองอยู่ตลอดเรียกได้ว่ายิ่งได้อ่านก็เหมือนยิ่งได้ลับสมองให้เฉียบแหลมยังไงยังงั้นเลยล่ะ
  2. ฝึกสมาธิ
       หากอยากได้สมาธิ หรือต้องการหลีกหนีความวุ่นวายรอบกายก็ลองหยิบหนังสือที่น่าสนใจมาอ่านดูสิ แล้วคุณก็จะได้ฝึกสมาธิได้อย่างที่ตั้งใจเพราะเวลาที่เราเพ่งความสนใจไปยังหนังสือ ก็จะได้เพ่งสมาธิและสมองไปด้วยทำให้เรามีสมาธิทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ถึงขนาดที่ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำว่าให้อ่านหนังสือก่อนทำงาน หรือเรียนสัก 15-20 นาทีเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสมองและร่างกายให้พร้อมทำงานและเรียนหนังสือเลยทีเดียว
  3. พัฒนาทักษะการเขียน
       เชื่อได้ว่าคนที่อ่านหนังสือทุกคนแม้จะอ่านบ่อยหรือไม่ค่อยบ่อยก็ตาม จะต้องมีนักเขียนในดวงใจที่เราอ่านแล้วชอบวิธีการเขียน และสำนวนของเขาเหลือเกินซึ่งสิ่งนี้และที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทักษะทางด้านการเขียนให้เราและยิ่งถ้าได้อ่านบ่อย ๆ ก็จะได้ทั้งคำศัพท์และสำนวนภาษาที่เขาใช้เขียนหนังสือกันไม่แน่ว่าสักวันคุณก็อาจจะได้เป็นนักเขียนฝีมือดีคนหนึ่งเลยก็ได้นะ
  4. ให้ความสงบ
      ผลวิจัยทางการแพทย์ได้พิสูจน์แล้วว่านอกจากการอ่านหนังสือจะช่วยให้เรามีสมาธิขึ้นแล้วการอ่านหนังสือยังช่วยให้ร่างกายเราเกิดความรู้สึกสงบขึ้นด้วยโดยหากอ่านหนังสือแนวปรัชญาหรือหนังสือที่ให้แนวคิดจะช่วยลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้ หรือถ้าอ่านหนังสือประเภทฮาวทู (self-help books) ก็จะช่วยปรับอารมณ์ที่แปรปรวนให้กลับมาเป็นปกติและบางทีก็สามารถช่วยชี้ทางสว่างให้ปัญหาที่มืดแปดด้านได้ด้วย
  5. ให้ความบันเทิง
     ไม่ว่าจะอ่านหนังสือประเภทไหนก็แล้วแต่จะมีสาระความรู้มากน้อยแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เพราะหนังสือสามารถให้อะไรกับคนอ่านได้เสมอไม่ว่าจะเป็นแนวคิด ไอเดียดี ๆ ทักษะภาษาหรือแม้แต่หนังสือภาพการ์ตูนที่ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรเลยก็ยังสามารถให้ความบันเทิงเริงใจแก่ผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย ดังนั้น หากวัน ๆหนึ่งคุณไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเท่าไร ก็ลองหาหนังสือที่คิดว่าน่าสนใจหรือเริ่มอ่านข้อความบนถุงกระดาษหรือบนฉลากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันก่อนก็ได้ค่ะ

 

อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าทุกคนพอจะรู้ประโยชน์และข้อดีของการอ่านหนังสือกันอยู่แล้วแต่ที่ติดกันอยู่นี่ก็คงเป็นความขี้เกียจหรือบางคนก็มีกิจกรรมอื่นที่น่าสนใจกว่าให้ทำ แต่นับจากนี้ต่อไปอยากให้ลองอ่านหนังสือกันให้มากขึ้นแล้วคุณจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างคาดไม่ถึง อะไรที่ไม่เคยได้รู้ก็ได้รู้สถานที่ไม่เคยได้ไปก็จะได้เห็น มาเปิดโลกกว้างไปกับหนังสือดีกว่านะคะ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

Vanattapong Sukhontachadnan
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่ 13 พฤศจิกายน  2556

ครอบครัวของ แมเดอร์ลิน  อารสตี้

เรื่อง โรคไต

ไตเป็นส่วนหนึ่งของทางเดินปัสสาวะซึ่งมีหน้าที่สร้างปัสสาวะ   ทางเดินปัสสาวะประกอบด้วยส่วนต่างๆ  4  ส่วน  คือ ไต  ท่อไต  กระเพาะปัสสาวะ และ ท่อปัสสาวะ  ไตเป็นอวัยวะที่ผลิตปัสสาวะจากการกรองเอาของเสีย น้ำและเกลือแร่ส่วนเกินจากเลือดที่ไหลผ่านไต   ปัสสาวะเมื่อผลิตจากไตแล้วจะผ่านมาทางท่อไตไปเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ  เมื่อปริมาณปัสสาวะที่เก็บไว้ในกระเพาะปัสสาวะมากพอเราจะรู้สึกปวดปัสสาวะ  เมื่อถึงเวลาที่เราต้องการปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะจะบีบตัวและหูรูดของกระเพาะปัสสาวะจะเปิดออก  ทำให้ปัสสาวะไหลผ่านท่อปัสสาวะออกสู่ภายนอก

หน้าที่สำคัญของไตคือการสร้างปัสสาวะซึ่งจะช่วยขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ และช่วยในการรักษาความปกติของน้ำและเกลือแร่ของร่างกาย  นอกจากนั้นไตยังมีหน้าที่ในการสร้างสารที่ควบคุมความดันโลหิต  และสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง  ดังนั้นเมื่อไตทำงานน้อยลงมักเกิดปัญหาความดันโลหิตสูงและโลหิตจางร่วมด้วย

 

 

 

อาการของโรคไตบวม

ทุกคนคงเคยมีการบวมมาแล้ว  การบวมส่วนใหญ่เป็นการบวมเฉพาะที่  เช่นถูกแมลงกัดต่อย  พกช้ำหลังเล่นกีฬา   การบวมแบบนั้นมักไม่มีปัญหามาก  การรักษาเฉพาะที่จะทำให้อาการบวมดีขึ้นในเวลาไม่นาน   การบวมที่มีความสำคัญก็คือการบวมทั้งตัว   ระยะแรกอาจมีเพียงการบวมที่หนังตา และหน้า  จะรู้สึกว่าแหวนหรือรองเท้าคับขึ้น  ต่อมาจะมีการบวมที่ขาและเท้าทั้งสองข้าง  ถ้าบวมไม่มากอาจสังเกตุไม่เห็น ลองใช้นิ้วกดที่หน้าแข้งสักพักแล้วปล่อยจะมีรอยบุ๋มอยู่แสดงว่าบวมแน่น   อาการบวมเกิดจากการมีน้ำและเกลือเพิ่มขึ้นในร่างกาย   โรคสำคัญที่ทำให้บวมก็คือ  โรคไต  โรคหัวใจ  และโรคตับ   ดังนั้นถ้ามีการบวมทั้งตัวความรีบไปปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจเช็ค และอาจจำเป็นต้องเจาะเลือด  ตรวจปัสสาวะด้วย    การซื้อยามารับประทานเอง อาจช่วยให้อาการบวมหายไปได้  แต่มักไม่ได้มีผลรักษาโรคโดยตรง   ยาแก้บวมส่วนใหญ่คือยาขับปัสสาวะซึ่งทำให้มีปัสสาวะมากขึ้น   แต่อาจมีผลเสียจากยาและบดบังอาการของโรค ทำให้การรักษาล่าช้าไป

ปัสสาวะเป็นเลือด

ปัสสาวะคนเราจะมีสีเหลืองใส  อาจมีสีเข้มขึ้นเล็กน้อยถ้าดื่มน้ำน้อย  ถ้าปัสสาวะที่ออกมามีสีออกแดงหรือเป็นแบบสีน้ำส้างเนื้อแสดงว่ามีเลือดออกจากทางเดินปัสสาวะ  ถ้าจะให้แน่นอนว่ามีเลือดออกจริงหรือไม่จะต้องตรวจปัสสาวะดู   คนปกติไม่ควรมีปัสสาวะเป็นเลือด  ดังนั้นหากมีปัสสาวะดังกล่าวควรรีบไปปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดจากโรคต่างๆ ได้หลายอย่างเช่น  นิ่ว  เนื้องอกของทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ  อุบัติเหตุกับทางเดินปัสสาวะ หรือ เส้นเลือดฝอยของไตอักเสบ  โรคเหล่านี้ถ้ารีบรักษาตั้งแต่ระยะแรกมักจะได้ผลดีกว่าทิ้งไว้นาน   ดังนั้นหากมีปัสสาวะสีผิดปกติควรมาพบแพทย์  แพทย์มักจะต้องให้ตรวจปัสสาวะ  และถ้าพบเม็ดเลือดแดงก็จะต้องทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาต่อไป

ปัสสาวะบ่อย

คนเราแต่ละคนจะมีความถี่บ่อยของการปัสสาวะแตกต่างกัน  ขึ้นกับการฝึกหรือนิสัยส่วนตัว  รวมทั้งปริมาณน้ำที่ดื่มและน้ำที่เสียไปทางเหงื่อกับอุจจาระ  การที่มีปัสสาวะบ่อยกว่าที่เคยเป็นอยู่   ในระยะเริ่มต้นอาจสังเกตุได้ไม่ชัดเจน  อาการที่ต้องนึกถึงว่ามีปัสสาวะบ่อยผิดปกติก็คือ การตื่นขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืน  ในคนปกติจะไม่ตื่นมาปัสสาวะในตอนกลางคืนบ่อยกว่าคืนละครั้ง  อาการปัสสาวะบ่อยเป็นอาการของโรคไตบางชนิด  แต่ความจริงแล้วผู้ป่วยที่ปัสสาวะบ่อยมักจะไม่ได้เกิดจากโรคไต  แต่เกิดจากสาเหตุอื่นมากกว่าที่พบบ่อยที่สุดก็คือ  โรคเบาหวาน  นอกจากนั้นอาจเกิดจาก  เบาจืด,   กระเพาะปัสสาวะอักเสบ   หรือการกินน้ำมากเกินไป   นอกจากนั้นยังอาจเป็นอาการของโรคไตวายในระยะแรก  ดังนั้นถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อย  โดยเฉพาะหากมากกว่าวันละ 3 ลิตร  หรือตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษา

ปัสสาวะน้อยลง

โดยทั่วไปเมื่อคนเราดื่มน้ำมากปัสสาวะมักจะมากขึ้น  เมื่อดื่มน้ำน้อยปัสสาวะก็มักจะน้อยลงเช่นกัน  แต่หากดื่มน้ำมากแต่ปัสสาวะไม่ออกมากตามหรือปัสสาวะไม่ออกเลย  มักเกิดจากการทำงานของไตเสียไป  หรือมีการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ  ดังนั้นเมื่อสังเกตุว่าปัสสาวะน้อยลงให้ลองรับประทานน้ำเพิ่มขึ้นและสังเกตุว่ามีปัสสาวะมากขึ้นหรือไม่  หากยังคงมีปัสสาวะออกน้อยถึงแม้จะดื่มน้ำมากขึ้นแล้วควรรีบมาปรึกษาแพทย์เพื่อให้การรักษาโดยทันที

ปัสสาวะลำบาก

ขณะที่เราปัสสาวะเมื่อเกิดการปวดปัสสาวะนั้น   การปัสสาวะควรจะคล่องดีโดยไม่มีอาการขัด แสบ หรือปัสสาวะลำบาก  หากมีอาการดังกล่าวอาจเกิดจากโรคของกระเพาะปัสสาวะ หรือท่อปัสสาวะโดยเฉพาะการตีบตันของบริเวณกระเพาะปัสสาวะส่วนล่างหรือการตีบของท่อปัสสาวะ  เช่น นิ่ว  กระเพาะปัสสาวะอักเสบ  ท่อปัสสาวะอักเสบหรือตีบตัน  และต่อมลูกหมากโตในผู้ชาย   หากมีอาการปัสสาวะลำบากควรรีบมาปรึกษาแพทย์เพื่อให้การวินิจฉัยและรักษา  โดยทั่วไปมักจำเป็นต้องตรวจปัสสาวะหรือตรวจพิเศษเพิ่มเติม

ปัสสาวะเล็ดราด

ร่างกายจะควบคุมให้เรากลั้นปัสสาวะไว้ได้จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะโดยส่วนของกระเพาะปัสสาวะที่ต่อกับท่อปัสสาวะจะมีหูรูดบีบไว้ไม่ให้ปัสสาวะเล็ดราด   เมื่อมีปริมาณของปัสสาวะมากขึ้นเต็มกระเพาะปัสสาวะแล้ว  กระเพาะปัสสาวะก็จะบีบตัวพร้อมกับหูรูดจะขยายออกทำให้ขับปัสสาวะออกมา   หากมีความผิดปกติของหูรูดดังกล่าวทำให้หูรูดไม่ทำงาน   ทำให้ไม่สามารถเก็บปัสสาวะไว้ได้    อาการปัสสาวะเล็ดราดพบได้บ่อยในผู้หญิง  โดยเฉพาะคนที่คลอดลูกหลายคน  ทำให้เกิดการหย่อนยานของมดลูกหรือที่เรียกว่ากระบังลมหย่อน  นอกจากนั้นอาจเกิดจากการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ  หรือเนื้องอกของอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ใกล้กับหูรูด

 

 

 

 

โรคไตและโรคระบบทางเดินปัสสาวะที่พบบ่อย

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

กระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นการติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะจากเชื้อโรค  เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของกระเพาะปัสสาวะอักเสบมักเป็นเชื้อโรคที่อาศัยอยู่บริเวณปลายของท่อปัสสาวะ  ซึ่งเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายในผู้หญิงเนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่าผู้ชาย   กระเพาะปัสสาวะอักเสบจึงมักพบในผู้หญิงโดยเฉพาะในคนที่ชอบกลั้นปัสสาวะ  อาการสำคัญได้แก่  ปัสสาวะลำบาก  ปัสสาวะบ่อย   แสบขัด  ขุ่น  บางครั้งอาจมีปัสสาวะเป็นเลือดและไข้ร่วมด้วย   หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจปัสสาวะและเพาะเชื้อปัสสาวะ  แพทย์มักให้การรักษาโดยการรับประทานยาฆ่าเชื้อ   การปล่อยให้มีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นอยู่นานโดยไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดกรวยไตอักเสบเฉียบพลันร่วมด้วยได้   การป้องกันไม่ให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบที่สำคัญก็คือการไม่กลั้นปัสสาวะ

กรวยไตอักเสบ

กรวยไตเป็นส่วนของไตซึ่งเป็นที่รวมของปัสสาวะที่กรองจากไตก่อนผ่านไปยังท่อไตและท่อปัสสาวะ   กรวยไตอาจเกิดการอักเสบทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง   แต่ส่วนใหญ่มักเป็นการอักเสบแบบเฉียบพลันซึ่งเกิดต่อเนื่องจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ    กรวยไตอักเสบเฉียบพลันส่วนใหญ่พบในผู้หญิง  ผู้ป่วยมักมีอาการ ไข้หนาวสั่น ปวดหลัง  เคาะเจ็บบริเวณหลัง  มักมีปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย  แสบขัด และ ขุ่น ร่วมด้วย   หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจปัสสาวะและเพาะเชื้อปัสสาวะ  รวมทั้งให้การรักษาโดยเร็ว  หากอาการไม่มากรักษาโดยการรับประทานยาฆ่าเชื้อได้  แต่ถ้ามีอาการมากอาจจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลและฉีดยาฆ่าเชื้อเข้าเส้นเลือด   การปล่อยให้มีกรวยไตอักเสบโดยไม่ได้รับการรักษาโดยทันท่วงทีอาจมีอันตรายรุนแรงถึงชีวิตได้

ไตวายเฉียบพลัน

ไตวายเฉียบพลันเป็นภาวะที่มีการสูญเสียการทำงานของไตที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  สาเหตุที่สำคัญมักเกิดจากการสูญเสียเลือดหรือน้ำและเกลือแร่จากร่างกายอย่างรุนแรง  เช่น  เสียเลือดจากอุบัติเหตุ  หลังการผ่าตัด  เลือดออกในกระเพาะอาหาร  ท้องเสีย   อาเจียน  หรือการช็อคจากสาเหตุต่างๆ   นอกจากนั้นอาจเกิดจากยาหรือสารพิษที่มีพิษกับไตโดยตรง   อาการสำคัญของผู้ป่วยคือปริมาณปัสสาวะลดลง ร่วมกับสาเหตุต่างๆ ดังกล่าว   ผู้ป่วยมักมีอาการหนักจนต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล   แพทย์จะให้การรักษาอย่างเร่งด่วนและอาจจำเป็นต้องล้างไตในผู้ป่วยบางราย  ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคที่เป็นสาเหตุของไตวายเฉียบพลัน   แต่ถ้าผู้ป่วยมีชีวิตรอด ไตมักจะฟื้นตัวกลับเป็นปกติ   โดยไม่จำเป็นต้องรับการรักษาแบบเรื้อรัง

ไตวายเรื้อรัง

เมื่อแพทย์ให้การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง  แสดงว่าเนื้อไตบางส่วนถูกทำลายไปอย่างถาวร  มีการเกิดพังผืดและแผลเป็นในไต  เนื้อไตส่วนที่เหลือจะพยายามทำหน้าที่แทน  แต่ก็ไม่สามารถทำงานทดแทนได้ทั้งหมด  ยังไม่มียาที่สามารถช่วยคืนสภาพไตให้กลับสู่ปกติได้  ยาที่ผู้ป่วยได้รับมักมีฤทธิ์ในการป้องกันไม่ให้เนื้อไตที่เหลืออยู่เสื่อมสภาพไปอีก  ดังนั้นธรรมชาติของโรคมักจะดำเนินไปและเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  จำเป็นต้องรักษาตลอดชีวิต   สาเหตุของไตวายเรื้อรังเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่น เกิดจากโรคเบาหวาน  ความดันโลหิตสูง  เก๊าท์  การรับประทานยาบางอย่างที่มีพิษต่อไต  แต่ผู้ป่วยจำนวนมาไม่พบสาเหตุของไตวายเรื้อรังที่แน่นอน  การปฏิบัติตัวที่สำคัญของผู้ป่วยก็คือการลดปริมาณของโปรตีน ซึ่งมีอยู่ในเนื้อสัตว์และไข่ลง  งดโปรตีนจากพืช  เช่น  ถั่ว   ถ้ามีอาการบวมและความดันโลหิตสูงควรงดของเค็ม  ทานอาหารที่จืด   สำหรับผลไม้นั้นรับประทานได้เล็กน้อย โดยต้องลดปริมาณลง  ส่วนพวกแป้ง  เช่น ข้าว,  ก๋วยเตี๋ยว สามารถรับประทานได้ตามปกติ   นอกจากนั้นจะต้องรับประทานยาและมาตรวจตามนัดโดยสม่ำเสมอ  หากมีการเจ็บป่วยไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะยาบางชนิดอาจมีผลเสียต่อไต  ทำให้ไตเสื่อมได้เร็วขึ้น

การรักษาโรคไตวายนอกจากให้การรักษาโดยการควบคุมอาหารและรับประทานยาเพื่อป้องกันการเสื่อมของไตแล้ว  เมื่อไตสูญเสียการทำงานไปมากกว่าร้อยละ 10 ผู้ป่วยจะมีอาการต่างๆ ซึ่งเกิดจากการคั่งของของเสียและความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย เช่น เบื่ออาหาร  คลื่นไส้อาเจียน  สะอึก  อ่อนเพลีย  เหนื่อหอบ เป็นต้น  ในกรณีที่ไตเสียไปมากดังกล่าว  ผู้ป่วยจะต้องรับการรักษาโดยวิธีพิเศษที่เรียกกันทั่วไปว่าการล้างไต

การล้างไตเป็นวิธีการกำจัดของเสีย  และน้ำกับเกลือแร่ส่วนเกินออกจากร่างกายของผู้ป่วยไตวาย  ในกรณีของไตวายเรื้อรัง เมื่อจำเป็นต้องล้างไตแล้ว แสดงว่าไตเหลือหน้าที่การทำงานน้อยกว่าร้อยละ 10   การล้างไตความจริงแล้วมีความหมายไม่ตรงกับคำแปลนัก  การล้างไตไม่ได้เอาอะไรไปล้างให้ไตสะอาด  จึงไม่ได้ทำให้ไตที่วายดีขึ้นโดยตรง   แต่เป็นการทำหน้าที่ทดแทนไตที่สูญเสียหน้าที่ไป  ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจำเป็นต้องรักษาโดยการล้างไตแล้วต้องทำการล้างไตไปตลอดชีวิต  หรือจนกว่าจะได้รับการปลูกถ่ายไต

การล้างไตมี 2 ชนิดคือ การฟอกเลือด และการล้างทางช่องท้อง  การรักษาทั้งสองแบบได้ผลใกล้เคียงกัน   ผู้ป่วยล้างไตโดยการฟอกเลือด  ต้องมาทำในโรงพยาบาลที่มีเครื่องไตเทียมสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง  ครั้งละ 3 - 5 ชั่วโมง   ส่วนผู้ป่วยรักษาด้วยการล้างช่องท้องสามารถล้างไตได้ที่บ้านด้วยตนเอง  โดยการใส่น้ำยาเข้าช่องท้องเองวันละ 4 - 5 ครั้ง

การปลูกถ่ายไต  เป็นวิธีการรักษาโรคไตวายเรื้อรังวิธีหนึ่ง  โดยแพทย์จะผ่าตัดใส่ไตที่ได้รับบริจาคฝังเข้าในตัวผู้ป่วย  ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ตัดไตของผู้ป่วยออก   และไม่ได้นำไตใหม่มาเปลี่ยนกับไตเดิม  ไตที่จะนำมาปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยอาจได้จาก 2 วิธีคือ  จากผู้ป่วยที่สมองตายแล้วอุทิศให้  หรือได้จากบุคคลที่มีชีวิตอยู่  ในกรณีแรกการได้รับไตเร็วหรือช้าจะขึ้นกับว่าเนื้อเยื่อของผู้รอรับไตกับผู้บริจาคจะเข้ากันได้ดีมากน้อยแค่ไหน  ดังนั้นระยะเวลาที่ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่รอรับไตอยู่จนได้รับการปลูกถ่าย จึงไม่สามารถกำหนดได้แน่นอน  บางคนรอเป็นปี  แต่บางคนใช้เวลาแค่ 2-3 สัปดาห์ก็ได้รับไตแล้ว   ส่วนไตของผู้บริจาคที่ยังมีชีวิต ถ้าเนื้อเยื่อเข้ากันได้ดี  ก็สามารถทำการปลูกถ่ายได้เลย  ผู้บริจาคไตที่ยังมีชีวิตนั้นมักได้จาก พ่อแม่ พี่น้อง หรือ ลูก  ซึ่งสมัครใจที่จะบริจาคไตให้ผู้ป่วย

โรคนิ่ว

นิ่วของทางเดินปัสสาวะ เป็นการตกตะกอนของผลึกต่างๆ ในทางเดินปัสสาวะ  พบได้บ่อยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่นอนแต่เชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับกรรมพันธ์ หรือสภาพแวดล้อม   อาการที่สำคัญคืออาการปวดท้องหรือปวดหลัง  ปัสสาวะขัด  ปัสสาวะเป็นเลือด  บางครั้งอาจมีลักษณะของปัสสาวะมีก้อนนิ่วหลุดออกมาได้    ในบางคนอาจเกิดโรคแทรกซ้อนจากนิ่วได้ เช่น กรวยไตอักเสบจากการติดเชื้อ   ท่อไตหรือท่อปัสสาวะอุดตันจากนิ่วทำให้เกิดไตวายได้   หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นนิ่วควรมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษา  เพราะหากทิ้งไว้นานจะทำให้มีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นทำให้ายากแก่การรักษา

หากพบว่าเป็นนิ่วของทางเดินปัสสาวะการรักษาระยะแรกคือการรักษาอาการปวดโดยรับประทานยาแก้ปวด หรือหากมีอาการมากอาจต้องฉีดยาแก้ปวดให้  การรักษาขั้นต่อไปคือเอานิ่วออก  หากนิ่วมีขนาดเล็กอาจหลุดออกมาได้เมื่อดื่มน้ำมากๆ   แต่ถ้านิ่วมีขนาดใหญ่และมีการอุดตันของทางเดินปัสสาวะร่วมด้วยมักจำเป็นต้องผ่าตัดเอานิ่วออก  การผ่าตัดอาจใช้วิธีผ่าตัดผ่านทางผิวหนังหรือส่องกล้องเข้าทางท่อปัสสาวะคีบเอานิ่วออกมา   ในปัจจุบันมีการรักษาที่เรียกว่าสลายนิ่วโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงทำให้เกิดการสั่นสะเทือนทำให้ก้อนนิ่วแตกออกเป็นก้อนเล็กๆ หลุดออกมาได้   นอกจากการรักษาเพื่อเอานิ่วออกมาแล้ว   หลังการรักษามักจำเป็นต้องรับประทานยาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดนิ่วซ้ำ

 

 

 

 

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

Vanattapong Sukhontachadnan
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน ครอบครัวนักอ่าน วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ครอบครัวของ ด.ญ. แมเดอร์ลิน อารีสตี้ เรื่อง การดื่มนมมีประโยชน์อย่างไร น้ำนมดิบมีสารอาหารครบ 5 หมู่ ประกอบไปด้วย โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ คาร์โบไฮเดรต และ ไขมัน ร่างกายสามารถนำสารอาหารจากน้ำนมไปใช้ประโยชน์ในการเจริญเติบโต ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ที่สำคัญอย่างยิ่งคือนมมีแร่ธาตุ แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยสร้างกระดูกและฟัน นมจึงถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาร่างกายและสมองของเด็ก โปรตีน ในน้ำนมเกือบทั้งหมดประกอบด้วยสารอาหารโปรตีน ที่เรียกว่า เคซีน , โกลบูลิน, อัลบูมิน และมีกรดอะมิโนอยู่ 19 ชนิด ซึ่งมีประโยชน์ต่อการสร้างเนื้อเยื่อ เลือด กระดูก และเอนไซม์ชนิดต่าง ๆ ในน้ำนมมีน้ำตาลที่มีชื่อว่า แล็คโตส (Lactose) ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของสมอง และ ที่น่าสนใจคือโปรตีนที่เรียกว่า เคซีน (Casein) จะพบในธรรมชาติคือในน้ำนมเท่านั้น วิตามิน วิตามินเอ มีหน้าที่สำคัญต่อระบบสายตา , วิตามินบี B1 ช่วยในการทำงานของระบบประสาท หัวใจ และระบบขับถ่าย , B2 ช่วยในการทำงานของระบบประสาท และผิวหนัง , B6 ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็ก , B12 สร้างเซลล์ในโพรงกระดูก และเม็ดเลือดแดง วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง สร้างภูมิป้องกันต้านทานโรค และทำลายสารพิษต่าง ๆ วิตามินดี ก่อให้เกิดการป้องกันความผิดปกติของกล้ามเนื้อ และลดไขมันในเส้นเลือด เกลือแร่ ในน้ำนมประกอบด้วยเกลือแร่หลายชนิด คือแคลเซียม เป็นสารอาหารจำเป็นในการสร้างกระดูกและฟัน (เสริมสร้างในวัยเด็กและซ่อมแซมในวัยผู้ใหญ่) , ฟอสฟอรัส ทำงานร่วมกับแคลเซียม , โปตัสเซียม ควบคุมความสมดุลของเซลล์เกี่ยวกับความดันโลหิต นอกจากนี้ยังมี โซเดียม แมกนีเซียม และเหล็ก ไขมัน ปกติเราเรียกไขมันจากน้ำนมว่า "มันเนย" เป็นส่วนที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย (แต่นมจะให้ไขมันเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับขนมปัง นมถั่วเหลือง หรือเนื้อ)



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

Vanattapong Sukhontachadnan
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน ครอบครัวนักอ่าน วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ครอบครัวของ ด.ญ. แมเดอร์ลิน อารีสตี้ เรื่องนมผึ้งคืออะไร นมผึ้งคือผึ้งงานสำหรับการให้อาหาร ผึ้งนางพญาเรณูทิพย์เก็บผ่านกลุ่มเคี้ยวจากต่อมเชอรี่หลั่งเหนียวหน่วยงาน ฮอร์โมนธรรมชาติสีของครีมเล็กน้อยรสเปรี้ยวราชินีนี้ อาหารเพราะฉะนั้นชื่อของนมผึ้ง Hive ชีวิตไข่ปฏิสนธิเพียง 16 วันเพื่อ eclosion เป็น Queen Bee รอยัลเจลลี่สำหรับอาหารและรูปร่างของมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสามครั้งใหญ่ กว่าผึ้งงานชีวิตเป็นเรื่องเกี่ยวกับ 40 ครั้งผึ้งงานสำหรับ 3-5 ปีและใน พันธุ์งวดประจำวันพล่าน 2000-3000 เทียบเท่ากับน้ำหนักของสองผึ้งนางพญาตัวเอง ถ้าสดรอยัลเยลลี่เกสรทิพย์สำหรับอาหารจะมีการเกิดขึ้น 21 วันในผึ้งงานและขนาดที่เล็กของความอุดมสมบูรณ์และชีวิตเป็นเพียง 1-5 เดือน การศึกษาสังเกตและผึ้งนางพญางานบังคับเติบโตผึ้งพลังความอุดมสมบูรณ์ได้เช่น ความแตกต่างใหญ่เมื่อพบพลังลึกลับของสมบูรณ์จากอาหารพิเศษของสมเด็จพระ ราชินีผึ้ง - นมผึ้ง รอยัลเจลลี่เป็น 4-12 วันหลังจากการเกิดขึ้นของผึ้งงานหนุ่มสารที่หลั่งมาจากต่อมของคอหอย สาขาผึ้งงาน (20 วัน) ทุกวันโดยที่รกร้างว่างเปล่าบินรังมองหาทิพย์เก็บเกสรของพืชต่างๆเกสรเหมือง แร่เกาะขาด้านหลังตะกร้าเกสรกลับไปที่รังกิน 4-12 วันอายุ ผึ้งงานหนุ่มกิน เกสรโดยการเข้ากลืนผึ้งหลังจากการย่อยและการดูดซึมของสารอาหารผ่านเส้นเลือด ส่งไปต่อมน้ำคอหอยของผึ้งมุ่งหน้าไปยังต่อมส่งเสริมอย่างเต็มที่ยั่วยวน พัฒนาหลั่งนมผึ้ง ต่อมเชอรี่เทียบเท่าผึ้งของต่อมน้ำลายของมนุษย์มนุษย์เจริญงอกงามมากที่สุด ใน 17-18 ชั่วโมง, หลั่งต่อม secretes กระชุ่มกระชวยเขาเรียกว่าฮอร์โมนทำต่อมน้ำลายฮอร์โมน (Parotin) หลังจากเกิดของผึ้งในวันที่ 4-12 เทียบเท่าของมนุษย์ 17-18 ปีและยังเป็นจำนวนมากของสารน้ำลายต่อมฮอร์โมนเช่น - การหลั่งต่อมฮอร์โมนระดับน้ำลาย นมผึ้งจะหลั่งโดยต่อมเชอรี่, ฮอร์โมนต่อมน้ำลายธรรมชาติประกอบด้วยคลานอกจากนี้เรายังสามารถ deduce จากแหล่งที่มาของนมผึ้งได้ rejuvenating สาร นักวิทยาศาสตร์พบว่าคนงานของร่างกายนอกจากนี้ยังมีผึ้งสารพิเศษคนยังคงไม่ สามารถเข้าใจผ่านบทบาทของสารนี้โดยเฉพาะน้ำผึ้งและเกสรจะถูกแปลงเป็นนม ผึ้ง



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

Vanattapong Sukhontachadnan
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน ครอบครัวนักอ่าน วันที่บันทึก 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ครอบครัวของ ด.ญ. แมเดอร์ลิน อารีสตี้ เรื่อง ลักษณะการพูดที่ดี 1.ถูกจังหวะเวลา คู่สนทนาพร้อมจะพูด หรือติดงานยุ่งใจกับเรื่องอื่นหรือไม่ ต้องมีอารมณ์ร่วม อาจถามว่าเขาพร้อมจะฟัง ขอเวลาผมปรึกษาเรื่องนี้ ท่านพอมีเวลาให้ อย่าพูดแทรกขณะที่เขาพูดต่อเนื่องไม่จบ เว้นแต่มีเหตุผล แต่ต้องนำว่า ผมขออนุญาตชี้แจงตรงนี้ครับ... ใช้เวลาให้พอดี และไม่พูดเดาดักหน้าต่อข้อความของเขาเพื่อโชว์ว่าฉันรู้ดี 2.ภาษาเหมาะสม ต้องเป็นภาษาสุภาพเข้ากับ เด็ก ผู้ใหญ่ เพื่อน หัวหน้า ผู้หญิง ผู้ชาย้ ความสนิทสนม ต้องเข้ากับสถานที่และเวลาโอกาส เช่นในที่ประชุม หรือที่มีคนไม่สนิทอยู่ด้วย ต้องเรียบง่ายได้ใจความ ไม่ใช้คำศัพท์เฉพาะทาง และกะทัดรัดตรงประเด็นโดยเฉพาะทางธุรกิจต้องไม่เยิ่นเย้อยืดยาด ไม่ใช้คำพูดดูถูกเหยียดหยามบุคคลที่สาม ไม่ใช้คำบ่งว่าต่ำศักดิ์กว่า บ้านนอก ขี้ข้า 3.เนื้อหาชวนติดตาม ลำดับเนื้อความเป็นระเบียบต่อเนื่องอย่างมีเหตุผล ถ้ามีหลายหัวเรื่องว่าให้จบเป็นข้อๆไปอย่าสับไปสับมา ทำให้สับสน หมดความตั้งใจฟัง รู้จักผูกเรื่องที่ใกล้ตัวคนฟังโยงมาสู่เรื่องที่พูด อย่าพูดตัวเลขสถิติมากจนน่าเบื่อมาก 4.น้ำเสียงชวนน่าฟัง เน้นเสียงหนักเบา นุ่มชวนฟัง ใส่อารมณ์ให้กับบางคำพูดบ่งชี้ว่าตอนนี้นะสำคัญ เพื่อเขาตื่นตัวและคล้อยตามผู้พูด จึงควรเว้นพูดเสียงเนิบนาบราบรียบต่อเนื่องแบบท่องหนังสือชวนให้ง่วงหลับ แล้วต้องมีลีลาช้า เร็ว เว้นจังหวะหยุดพูดบ้าง เพื่อดึงความสนใจว่า เราจะพูดอะไรต่อ ดูจากแววตาสีหน้า เนื้อหาสำคัญต้องพูดช้าชัดๆเพื่อเขาจะได้ทำความเข้าใจจดจำได้ น้ำเสียงสีหน้าผู้พูดยิ้มแย้มแสดงความจริงใจ ผู้ฟังสบายใจ ตรงข้ามกับเสียงเย่อหยิ่ง ประชดประชันคนอื่น 5.กิริยาท่าทางดี พยายามสบตากับผู้ฟัง ดวงตาเป็นสะพานเชื่อมต่อกับความรู้สึกภายในใจโดยตรง สื่อว่า เราเป็นมิตร ความเห็นอกเห็นใจ เรากระตือรือร้น ควรเริ่มต้นสบตาทันทีที่เริ่มพูด แต่ต้องไม่ตลอดไป ควรหันไปทางอื่นด้วยป้องกันความอึดอัดเกิดกับผู้ฟัง ถ้าพูดกับคนจำนวนมากต้องส่งสายตาไปคนหลังสุดก่อนแล้วจึงมองไปทั่วๆ อย่าเพ่งจ้องคนใดโดยเฉพาะ กริยาดีต้องนั่งหลังตรง กับเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย แสดงว่าสนใจอีกฝ่าย แล้วอย่าเองไปพิงหลังกอดอก แสดงการตีตัวออกห่างไม่อยากพูดด้วยนะเอง แล้วอย่า อยู่นิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ต้องขยับบ้างเล็กน้อย แสดงมือประกอบได้เล็กน้อย แต่อย่าหลุกหลิก อย่าฃี้หน้าผู้ฟัง และถ้ายิ้มได้ควรยิ้มให้ผู้ฟัง 6.อารมณ์ขันเป็นยาดำ สอดแทรกอารมณ์ขันที่ดีแบบสุภาพ แนบเนียน ไม่อนาจาร ทำ ให้เกิดอารมณ์ร่วมกับผู้ฟังได้ดีมาก สิ่งต้องระวังคือ อย่าเอาเรื่องส่วนตัวคนอื่นมาเป็นตลกให้คนอื่นหัวเราะ อย่าพูดตลกในสถานที่ราชการ ในพิธี ไม่พูดเรื่องตลกที่คนส่วนใหญ่ฟังมาแล้ว 7.ให้ผู้ฟัง คู่สนทนามีส่วนร่วม ตั้งคำถามเล็กๆ หรือขอความเห็นอย่างอื่นจากผู้ฟัง เปิดโอกาสให้ซักถามประเด็นที่ติดใจ หรือขอความช่วยเหลือจากผู้ฟังให้หยิบสิ่งของโชว์

8.เป็นธรรมชาติและเป็นตัวของตัวเอง มีลีลาพูดเรื่องยากเป็นเรื่องง่าย คุยแบบสนุก ทำมือไม้อยู่ไม่สุขเพื่อดึงดูดความสนใจ เป็นจุดเด่นของตัวเอง แต่อย่าเลียนแบบคนดัง ท่าทางภาษา สำนวนภาษาที่เราถนัด ที่เตรียมมา จะเป็นจุดเด่น เป็นเอกลัษณ์ของเรา 9.วิเคราะห์คู่สนทนาว่า ชอบและสนใจสิ่งไหนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตั้งแต่แรกเห็นแล้วว่า เราจะต้องพูดกับใคร คนวัยไหน อยู่วงการอะไร ฐานะตำแหน่ง สภาพจิตใจ เขาจะมีความสนใจอะไรส่วนตัวเป็นพื้นนิสัย เป็นช่องทางเปิดให้เรารุกเข้าไปนั่งในใจเขาอย่างไม่ยากแต่อย่าทำแบบโฉ่งฉ่างอีกฝ่ายจับได้



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

Vanattapong Sukhontachadnan
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน ครอบครัวนักอ่าน วันที่บันทึก 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ครอบครัวของ ด.ญ. แมเดอร์ลิน อารีสตี้ เรื่อง ประวัติวันตรุษจีน ตรุษจีน คือ วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน 
สมัยโบราณในยุคราชวงศ์ต่างๆ นับช่วงพ้นปีเก่าเข้าปีใหม่แตกต่างกันไป กระทั่งปี 105 B.C. ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่นปรับเปลี่ยนระบบปฏิทินใหม่ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เรียกว่า ปฏิทินไท่ชูลี่ ปฏิทินไท่ชูลี่ ปรับปรุงขึ้นจากระบบปฏิทินของราชวงศ์เซี่ย (21-16 ศตวรรษ B.C.) ถือเอาวันแรกของปักษ์ลี่ชุน 立春 เป็นวันขึ้นปีใหม่ ชาวจีนจึงนับเอาวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่มา 2010 ปีแล้ว วันตรุษจีนหรือปีใหม่นี้ จีนโบราณเรียกว่า 过年 กั้วเหนียน ผ่านปีหรือ 元旦หยวนตั้น – ขึ้นปีใหม่ 
เทศกาลตรุษปีใหม่หรือตรุษวสันต์นี้ เดิมเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ นักวิชาการเริ่มวิเคราะห์จากคำว่า “เหนียน” 年ซึ่งปัจจุบันแปลว่า ปี 
เทศกาลตรุษจีน เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กั้วเหนียน” 过年 
ในสมัยโบราณ (ก่อนราชวงศ์โจว) เหนียน หมายถึง รอบการเจริญเติบโตของธัญพืชรอบหนึ่ง ธัญพืชสุกพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว และ/หรือหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของการเพาะปลูก ดังนั้น คำว่า “กั้วเหนียน” เดิมทีมิได้หมายถึงการสิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ แต่หมายความว่า ในปีนั้นๆ เก็บเกี่ยวได้อุดมสมบูรณ์ 
โดยทั่วไปแล้ว การเพาะปลูกในตงง้วนจะเก็บเกี่ยวกันตอนปลายฤดูใบไม้ร่วง ส่วนฤดูหนาวคือช่วงระยะล่าสัตว์ เมื่อเราย้อนกลับไปดูการกำหนดเดือนอ้ายขึ้นปีใหม่ในปฏิทินโบราณทั้ง 4 ระบบ จะเห็นว่าก๊กเซี่ย ขึ้นปีใหม่ตอนปลายเดือนมกราคม ก๊กซางขึ้นปีใหม่ตอนปลายเดือนธันวาคม ก๊กโจวขึ้นปีใหม่ตอนปลายเดือนพฤศจิกายน ก๊กฉินขึ้นปีใหม่ตอนปลายเดือนตุลาคม ที่ต่างกันดังนี้ อาจเนื่องมากจากความแตกต่างของฤดูกาล เทศกาลปีใหม่มีขึ้นอย่างเป็นเอกภาพพร้อมเพรียงกัน หลังจากจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ประกาศใช้ปฏิทินไท่ชูลี่ เมื่อค.ศ. 105 แล้ว ดังนั้น อาจกล่าวว่า เทศกาลปีใหม่จีนหรือตรุษจีนเริ่มกำหนดอย่างเป็นทางการในรัชสมัยฮั่นอู่ตี้ 
ในส่วนคติชาวบ้านก็มีนิทานพื้นบ้านอธิบายว่าทำไมจึงเรียกเทศกาลตรุษวสันต์ว่า “กั้วเหนียน” 过年 เช่นกัน ดังนี้ 
ในรัชสมัยของจู๋อี่ โอรสสวรรค์องค์ที่ 14 แห่งราชวงศ์ซาง มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ว่านเหนียน 万年เห็น ว่าการประกาศปฏิทินกำหนดฤดูกาลของราชสำนักมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจาก สภาพภูมิอากาศที่เป็นจริง อันก่อผลเสียหายแก่การกสิกรรมและการปศุสัตว์มาก ว่านเหนียนจึงพากเพียรพยายามติดตามศึกษาดาราศาสตร์ ศึกษาเงาตะวันจากนาฬิกาแดด เป็นต้น จนกระทั่งทราบต้นตอที่มาของความผิดพลาด การคำนวณปฏิทินแบบเดิม



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท