การตั้งกองทุนนี้ต้องเริ่มต้นที่สถาบันที่สังกัด แนะนำให้ศึกษาวิธีการจากสถาบันที่จัดตั้งแล้ว
ตั้งคำถามไม่ชัดเจนว่าต้องการทราบอะไร
ขอเดาว่าคุณต้องการทราบ ห.ร.ม. ของ 21 30 และ 45
คำว่า ห.ร.ม. หารสั้น ก็แปลกดี ขอเดาว่าคุณต้องการหาโดยใช้วิธีการหารสั้น
ก่อนอื่นคุณต้องแม่นในนิยามของ ห.ร.ม. ก่อน
ห.ร.ม. ย่อมาจากคำว่า หารร่วมมาก ห.ร.ม. ของ 21 30 และ 45 คือ ตัวหารร่วมที่มากที่สุดของ 21 30 45 ซึ่งก็คือจำนวนที่มากที่สุดที่หารทั้ง 3 จำนวนลงตัวนั่นเอง
วิธีทำ หาจำนวนที่หาร ทั้ง 3 จำวนดังกล่าวมา 1 ตัว แล้วนำมาหาร 21 30 และ 45 สมมุตว่า 3 ตั้งหารดังนี้
3) 21 30 45
7 10 15 ต่อไปจงหาจำนวนที่หาร 7 10 และ 15 ลงตัวทั้ง 3 จำนวน(ยกเว้น 1) ซึ่งไม่มี
ดังนั้น 3 เป็นจำนวนที่มากที่สุดที่หารทั้ง 3 จำนวนลงตัว คังนั้น
ห.ร.ม. ของ 21 30 และ 45 คือ 3
เพื่อให้เข้าใจวิธีการขอยกตัวอย่างแถมให้อีก 1 ตัวอย่าง
ตัวอย่าง จงหา ห.ร.ม. ของ 42 60 และ 90 ใช้วิธีหารสั้น
วิธีทำ 2) 42 60 90
3) 21 30 45
7 10 15
ห.ร.ม. ของ 42 60 90 คือ 2*3 =6 (เอาตัวหารทุกตัวมาคูณกัน)
พอจะทำวิจัยในระดับ ป. ตรีได้ไหม ได้แน่นอน
จะตั้งปัญหาและสมมุติฐานการวิจัยอย่างไร ? 1. กลับไปอ่านตำราวิธีการตั้งปัญหา วิธีการตั้งสมมุติฐานการวิจัย
2. ระดมความคิดตัวเอง ลองตั้งมาสัก 2-4 ปัญหา
3. ไปขอพบอาจารย์ผู้สอนวิชานี้ ขอความคิดเห็น
แลกเปลี่ยนกับอาจารย์ และเพื่อน ๆ คงลงตัวที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งที
สอดคล้องกับความสนใจและศักยภาพของเรา แล้วดำเนินการเขียน
โครงร่างการวิจัย/ข้อเสนอการวิจัย ให้อาจารย์ตรวจ
และดำเนินการตามแผนในโครงร่าง
แนะนำ : สนใจสำรวจเรื่องประโยชน์ของรายวิชาที่เรียนกับการนำไปใช้จริงและความคิดเห็นต่อตัวผู้สอน น่าจะแยกเป็น 2 เรื่อง แยกเรื่องความคิดเห็นต่อตัวผู้สอนออกไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หาข้อมูลง่าย ๆก็น่าจะได้คำตอบไม่ต้องทำวิจัยใหญ่โต
โชคดีค่ะ
ไม่ทราบว่าที่นั่นมี รร ที่สอน กศน. หรือเปล่า น่าสอบถามทางเขตการศึกษาดู
นอกเหนือจากคำแนะนำของแมววิเชียรมาศแล้ว 'การเรียนภาษา ' คือการเรียนเริ่มจาก การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน ยังเป็น basics ที่สำคัญและจำเป็น แต่ละทักษะต้องฝึกทักษะอย่างสม่ำเสมอ และต้องมีความมั่นใจ เรื่องของ grammar เบื้องต้นก็ควรต้องใส่ใจ ต้องจำโครงสร้างของประโยค อย่างน้อยประโยคที่ไม่ซับซ้อน นั่นคือต้องเรียง ประธาน กริยา กรรมได้ แล้วต้องเข้าใจเรื่อง tense ปัจจุบันกาล อดีตกาล อนาคตกาล ฯลฯ เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ทุกคนได้เรียนมาแล้ว หยิบมาทบทวน แต่เก่งสิ่งเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะเก่งอังกฤษ
ถ้าเราจะพูดเก่งต้องฝึกพูด พูดกับใคร เพื่อฝึกความกล้าพูดกับเพื่อนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ไม่คำนึงว่าจะเป็นเจ้าของภาษา ถ้าจะยึดใครเป็นครู ครูต้องพูดแบบธรรมชาติ บางคน(คนไทย) พูดใส่อารมณ์เกินพอดี แถมเร็วกว่าเจ้าของภาษา stress intonation ก็ลงไม่ถูก คนฟังที่ไม่ค่อยเก่งก็ประหวั่นพรั่นพรึงไปหมด ชาตินี้พูดไม่ได้แน่
บางที่เราดีกว่าเขาอีกแต่เราขาดความกล้าที่จะพูด และเราเป็นคนไม่ช่างพูดโดยธรรมชาติแม้กระทั่งพูดภาษาไทยก็เลยไม่รู้จะคุยอะไรต่อไป
สมมุติว่าเราพอจะพูดได้ แต่หลังจากถามไปแล้ว เขาตอบมาไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ก็ขอให้เขาพูดใหม่พูดช้าลง ก็พอได้ 2-3 ประโยคแล้ว
วันหลังก็เตรียมไปสัก 4-5 คำถามที่จะถามต่อเนื่อง รวมทั้งสิ่งที่อยากแสดงความคิดเห็น ก็ทำให้พูดได้ 4-5 นาทีแล้ว
วันอื่น ๆก็ทำเช่นเดียวกัน ทำไปเรื่อย ๆอยู่มาวันหนึ่งเราอาจตกใจว่าเราสามารถใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้แล้ว อาจผิดบ้าง สำเนียงไม่เหมือนเจ้าของภาษา ก็ไม่เป็นไร แต่สื่อสารได้อย่างดีก็น่าจะพอใจ
ถ้ามีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศสัก 3-6 เดือนจะช่วยได้มาก อ่านหนังสือมาก ๆในเรื่องที่เราจะใช้ เช่นจะคุยเรื่องฟุตบอล ก็ควรอ่านข่าว ภาษาอังกฤษ เช่น BBC จะทำให้ได้ ศัพท์ ที่เขาพูดคุยกัน แล้วอย่าลืมจดเอาไว้ใช้
รัตน์ แก้วที่มีค่ามาก เพชรพลอย กร มือ ภาษาอังกฤษ น่าจะใช้ diamond hand หรือ precious hand
(ไม่แน่ใจว่าจะเหมาะสมกับบริบทที่คุณจะใช้หรือเปล่า)