โดยอาศัยภาษาเป็นสื่อ เราจึงเกิดความเข้าใจในโลกแวดล้อม เข้าใจคนรอบข้าง และเข้าใจใจของเราเอง การทำความเข้าใจโลกต้องอาศัยภาษา โลกของใครจะดีงามแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าเขาใช้ภาษาเช่นไร ใช้ความเข้าใจชนิดไหนอธิบายโลก ตลอดจนถึงอธิบายความเป็นตัวเองว่าเป็นอยู่อย่างไร และสัมพันธ์กับผู้อื่นเช่นไร
คนไทยในยุคปัจจุบันมักใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเรื่องราวในชีวิตประจำวัน จึงขาดทักษะที่จะความเข้าใจในความงาม และภูมิปัญญาที่แฝงไว้ในภาษา อันเป็นขุมปัญญาที่มีค่าเอนกอนันต์ เรื่องราวที่กล่าวขานว่า คนไทยเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน เพราะภาษาไทยเป็นภาษาของเสียง จึงเป็นเรื่องที่ไกลจากความรับรู้และความเป็นไปได้สำหรับคนไทยในยุคสองพันด้วยเหตุนี้
จากจุดที่เรายืนอยู่ในปัจจุบันนั้นห่างไกลจากยุคทองของวรรณคดีที่ปรากฏอยู่ในแบบเรียนเท่าๆกับที่ภาษามีพัฒนาการจากคำโดดมาสู่ความเป็นร้อยกรอง และกลายมาเป็นร้อยแก้วดังเช่นที่เป็นอยู่นี้
ช่องว่างดังกล่าวนี้ดูจะเลือนหายไปเกือบจะในทันทีที่หูได้สัมผัสกับภาษากวี จากเสียงเพลงลูกทุ่ง ที่มีเนื้อหาสนิทแน่นอยู่กับทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตด้วยความรู้สึกที่งดงาม ...ราวกับว่าสายลม สายน้ำ และทุ่งข้าว จะช่วยขัดเกลาจิตใจให้เข้าถึงความสงบเย็นได้ฉะนั้น"น้ำคู่เรือเสือยังคู่ป่า ดาวคู่ฟ้า หินผาคู่ภูเขาเขียว พี่เป็นหนุ่มนอนกลุ้มแดเดียว ไร้คู่เกี่ยวกอดเรือเหว่ว้า"
"น้ำคู่เรือเสือยังคู่ป่า |
ดาวคู่ฟ้าหินผาคู่ภูเขาเขียว |
พี่เป็นหนุ่มนอนกลุ้มแดเดียว |
ไร้คู่เกี่ยวกอดเรือเหว่ว้า" |
คุณค่าของสติปัญญาเช่นนี้ เติบโตและแตกตัวขึ้นจากรากเหง้าของเราเอง เป็นสติปัญญาที่มองเห็นความงามของอดีต อันก่อให้เกิด"ทรัพย์" ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เกิดเป็นความสามารถในการเลือกสรรค์สิ่งที่เหมาะสมกับอนาคตได้ โดยไม่ต้องทิ้งความเป็นตัวเอง
ค่ะ บางเพลงได้ยินแล้วทำให้ได้กลิ่นฟางหอมลอย.....มาเลยทีเดียว แต่ร้อยแก้วก็มีฤทธิ์เดชไม่เบา อย่างเช่น "คนดีศรีอยุธยา" ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ ทำให้ครูส้มซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์อยู่ท้องไร่ท้องนา ได้ทั้งกลิ่น รส สัมผัส แม้จะเป็นเพียงจินตนาการแต่ก็บอกตัวเองได้ว่าของจริงก็คงเป็นแบบนี้
ปล. เพลงอีกชนิดหนึ่งที่แฝงมาในรูปแบบของเพลงลูกทุ่ง แต่มีเนื้อหาเป็น Hardware มาก ขออนุญาตไม่เรียกว่าเพลงลูกทุ่ง น่าจะเรียกว่าเพลงลูกไม่น่ารัก น่าจะจับมาตีเสียให้เข็ด