เมื่อวาน (๗ พฤษภาคม) ผมดูข่าวทางช่อง ๗ สี มีเรื่องและภาพของการตีผึ้งหลวง ที่จังหวัดบุรีรัมย์ (จำชื่อหมู่บ้าน, ตำบล และอำเภอ ไม่ได้แล้วครับ)
ที่หมู่บ้านนั้น มีผึ้งหลวงมาเกาะทำรังที่ "ต้นผึ้ง" ถึง ๗๐ รัง มีการแบ่งสันปันส่วนให้ตีผึ้งกัน.. เป็นการตีผึ้งแบบอนุรักษ์นะครับ
"หมอผึ้ง" หรือ "พรานผึ้ง" ที่จะตีผึ้งนั้น เขาก็จะมีพิธีกรรมตามความเชื่อของเขา แบบที่มีการพูดกันว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"
ความจริงพิธีกรรมตามความเชื่อนั้น อาจมีคาถา "กันผึ้งต่อย" อยู่ด้วย เพื่อเรียกความเชื่อมั่น
อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้เมื่อ ตอนก่อนว่า จริงๆ แล้ว ไม่มีคาถาหรอกครับ แต่เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณ ถ้าบอกกล่าวตรงๆ ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ จึงคิดเป็นอุบาย บอกเรื่องคาถา และพิธีกรรม
การตีผึ้งหลวงแบบอนุรักษ์ เป็นการตีผึ้งที่มุ่งเฉพาะส่วนที่เป็น "หัวน้ำ" (อยู่ด้านบน.. เอาไว้จะเขียนอีกบันทึกหนึ่ง) คือบริเวณที่เป็นรวงน้ำผึ้ง.. การตีแบบนี้ จะใช้ควันรมผึ้ง และไม่ทำร้ายผึ้ง ผึ้งเขาก็จะไม่ทิ้งรังไป และสามารถสะสมน้ำหวานให้เราได้อีกครั้ง
การตีผึ้งแบบอนุรักษ์ จะตีเพื่อเก็บ"หัวน้ำ" ได้ ๒ ครั้ง ครั้งแรกในเดือนธันวาคม และครั้งที่สองในเดือนเมษายน.. เรื่องนี้ก็คล้ายๆ กันทั่วประเทศ (ยกเว้นภาคใต้) เรียกว่าเป็นปฏิทินการตีผึ้งหลวงแบบอนุรักษ์ เลยก็ได้... การตีผึ้งแบบนี้ทำให้ผึ้งหลวงยังคงกลับมาให้เราตีได้ทุกปี ไม่เป็นการทำลายผึ้ง.. นับว่า คนกับผึ้ง อยู่กันได้ดี ด้วยถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
อาจจะมีคำถามว่า "ตีผึ้งเพื่อเอาหัวน้ำ หลังจากนี้ได้หรือไม่" ตอบว่าได้ แต่จะได้น้ำผึ้งไม่ดี เพราะน้ำหวานตามธรรมชาติจะขาดแคลน แล้วผึ้งก็จะไปหาน้ำหวาน จากร้านขายขนม ซึ่งจะได้น้ำตาลอ้อย ผสมเข้ามา ทำให้น้ำผึ้งมีคุณภาพต่ำ หรือมีการปนน้ำตาลเข้าไปนั่นเอง
นี่ก็เป็นคำตอบหนึ่ง ของความเชื่อว่า "ทำไมต้องเป็นน้ำผึ้งเดือน ๕"
เรียน อาจารย์
เมื่อวานก็ได้ดูเช่นเดียวกันค่ะ ก็สงใสอยู่เหมือนกันว่าทำไมผึ้งถึงได้มาอาศัยอยู่กันเยอะขนาดนั้น แล้วภาคใต้เขาเก็บน้ำผึ้งกันช่วงไหนคะ
ผึ้งก็จะไปหาน้ำหวาน จากร้านขายขนม 555+