วันนี้พี่จุดขอเล่า Discharge Planning ซึ่งบรรยายโดยคุณสุห้วงต่อนะคะ เธอให้ชื่อว่า Discharge Planning : ตอน แรงใจของตา ค่ะ
คนไข้รายนี้ ได้รับอุบัติเหตุมา เมื่อหมอมาตรวจ พบว่า กระดูกของคนไข้หักหมดเลย ทั้งคอหัก ซี่โครงหัก แขนหัก ขาหัก อ้อ.......! เหลืออย่างเดียวที่ยังไม่หักคือ ขาข้างขวา นอกนั้นหักหมดทุกอย่าง สภาพของคนไข้จึงถูกเข้าเผือก และดามคอ
หมอได้สั่งให้ เอ็กซเรย์ C – spine ไป 2 ครั้ง แต่ผลฟิล์มออกมาไม่ชัด โดยเฉพาะ C6 กับ C7 จะเป็นตำแหน่งที่อันตรายที่สุดที่มักจะถูกลืมไป เจ้าหน้าที่จะเอ็กซเรย์จะต้องเก่ง และมีประสบการณ์ จึงจะถ่ายเอ็กซเรย์ให้เห็น C6, C7 ได้ชัดเจน โดยการดึงแขนลงเต็มที่ และพยาบาลจะต้องนับทุกครั้งว่าครบหรือไม่
มีอยู่วันหนึ่ง หมอก็ส่งแผนการรักษา จะทำผ่าตัดที่คอ แต่คนไข้เริ่ม ซึมเศร้า แล้ว ไม่พูดไม่จา ไม่กินอะไรทั้งนั้น พอเจาะเลือดตรวจอิเล็คโตรไลท์ ผลโซเดียมในร่างกายต่ำ เหลือ 121 ต้องงดผ่าตัดชั่วคราวและรักษาคนไข้ให้ผลเลือดดีขึ้นก่อน เมื่อคนไข้เริ่มไม่กิน ไม่ดูด Triflow (เพื่อดูสมรรถภาพของปอด) พี่สุห้วงก็รู้ว่าคนไข้ต้องมีปัญหาแล้ว แล้วจะทำยังไงต่อ.........???
ขณะที่ยังไม่มีคำตอบว่าจะทำอย่างไรดี คุณสุห้วงก็แอบ สังเกต เห็นว่าบนเตียงคนไข้จะมีอัลบั้มรูปขนาดเล็ก ๆ อยู่เล่มหนึ่ง คุณสุห้วงก็เริ่มเปิดดูปรากฎว่า ในอัลบั้มเล่มนั้นจะมีภาพเด็กอยู่ 2 คน เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งและเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คุณสุห้วงเริ่มคาดเดาว่า ภาพของเด็กต้องมีความหมายกับคนไข้แน่เลย เพราะเคยสังเกตเห็นว่า ตอนที่คนไข้หลับจะเผลอพูดออกมาว่า “หลานมากินนม......ชงนมให้หลานรึยัง” พอคุณสุห้วงเดินไปซักพักหนึ่ง ก็มีเสียงพูดว่า “เปลี่ยนผ้าเยี่ยวรึยัง” ทำเอาคุณสุห้วง งง หันซ้ายมองขวา เอ๊ะ.........! เปลี่ยนผ้าเยี่ยวของใครเรอะ.......เมื่อคิดได้เช่นนั้น คุณสุห้วงจึงเข้าไปถามภรรยาคนไข้เกี่ยวกับรูปเด็กในอัลบั้ม ก็ได้รับคำตอบว่าเป็นรูปของ หลานที่ตา (คนไข้) รักมาก โดยเฉพาะหลานผู้หญิงที่มีอายุ 6 เดือนเท่านั้นเอง
ตามกฎระเบียบของ รพ. ทั่วไปทุกแห่ง มักจะมีกฎอยู่ข้อหนึ่งที่เป็นหลักการเดียวกันคือ ไม่อนุญาตให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี เข้ามาเยี่ยมคนไข้ใน รพ. ด้วยเพราะกลัวการติดเชื้อโรคที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศทั่วไป แต่รายนี้ คุณสุห้วงอนุญาตให้นำเด็กมาเยี่ยมคุณตาได้ จึงบอกกับภรรยาคนไข้ว่า “เอาล่ะ......พี่หยวนให้เด็กอายุ 6 เดือน ขอให้คนไข้เค้าฮึดสู้ขึ้นมาก็แล้วกัน พี่เอาทั้งนั้นแหละไม่ว่าทางไหน”
ในที่สุดภรรยาคนไข้ก็นำหลานตามาเยี่ยมคนไข้ซึ่งนอนอยู่บนเตียงพร้อมดึง skull traction ระหว่างรอการผ่าตัดคอ เราได้นำเด็กไปอยู่ตรงหน้าคนไข้ เด็กก็ช่างน่ารักเหลือเกิน ภาพไร้เดียงสาของเด็กที่ยิ้มจนเห็นลักยิ้มของเด็ก พร้อมหัวเราะเสียงใส เต้นไปเต้นมาบนเตียงคนไข้ ทำให้คนไข้ที่ใบหน้าเฉยเมยไม่พูดไม่จาเริ่มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว สักพักหนึ่งก็เริ่มคุยโน้นคุยนี่กับทุกคน หายซึมเศร้าไปชั่วระยะหนึ่ง เหมือนต้นข้าวได้ฝน
คุณสุห้วงเมื่อเห็นคนไข้เริ่มอารมณ์ดี เริ่มพูดจากับคนรอบข้างแล้ว จึงถามคนไข้ว่า อยากกลับบ้านไปเลี้ยงหลานหรือไม่......หากอยากกลับ คนไข้ต้องให้ความร่วมมือกับพยาบาลนะ ต้องกินอาหาร ต้องดูด Triflow ต้องบริหาร.......ฯลฯ
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา คนไข้ให้ความร่วมมือดีมาก คุณสุห้วงจำได้ว่าหลังจากหลานมาเยี่ยมแล้ว แกกินส้มไป 2 ลูก ให้ดูด Triflow ก็ดูด หลังจากนั้นไม่นาน หมอก็ได้ผ่าตัดคนไข้เรียบร้อยดี และกลับไปพักฟื้นทำกายภาพบำบัดที่บ้านต่อ
พี่จุดอยากจะสรุปว่า บทเรียนที่คุณสุห้วงเล่าให้ฟังนี้ คือตัวอย่างของการ empowerment ผู้ป่วย ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของ Discharge Planning คือคำว่า E = empowerment ในคำว่า HELP ขออนุญาตทบทวน คำนี้ใหม่อีกครั้งนะคะ HELP ก็คือ
H = Holistic
E = Empowerment
L = Life Style
P = Prevention / promotion
โดยพยาบาลจะต้องค้นหาให้ได้ว่า ใครหรืออะไร เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อคนไข้ ในการปฏิบัติเพื่อดูแลสุขภาพของตนเอง
ได้ใจอีกแล้วค่ะ พี่จุด เป็นเรื่องเล่าที่น่าประทับใจอีกแล้ว จุดเล็กๆอันน้อยนิดที่มีพลังมหาศาลเหลือเกิน ดีใจแทนคุณตาด้วยที่ได้คุณสุห้วงเป็นคนดูแล
ขอบคุณคุณสุห้วงที่นำมาเล่าต่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนทำงานหนัก ดูแลผู้อื่นพบคนมากมายแบบพยาบาลคงจะเผลอมองข้ามไปได้อย่างแน่นอนเลยค่ะ แต่เมื่อรับรู้ว่าผลจากการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆนี้มีผลมากขนาดนี้ ใครๆก็คงอยากจะมองหาแน่นอนเลยค่ะ
ขอบคุณพี่จุดที่นำมาถ่ายทอดได้อย่างเห็นภาพ แถมด้วยความรู้ช่วยให้จำติดใจไปด้วยนะคะ