ดงหลวงมีสภาพพื้นที่ร้อยละ 90 เป็นป่าเขา พื้นที่ทำกินจะอยู่ระหว่างภูเขาประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 90 เป็นชนเผ่าไทโซ่ รองลงมาเป็นผู้ไทยและไทยอีสานตามลำดับ เผ่าพันธุ์ไทโซ่ชอบตั้งถิ่นฐานบนภูเขาเหมือนชาวเขาภาคเหนือ วิถีชีวิตจึงอาศัยป่าเป็นหลัก การเข้าป่าเพื่อหาทุกอย่างในการดำรงชีวิตเป็นสิ่งปกติ การไม่เข้าป่าเป็นสิ่งผิดปกติ
ลักษณะตลาดชุมชนที่มีอาคารแบบง่ายๆ
นับตั้งแต่ออกมาจากป่าเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้แหละที่มีการเกษตรสมัยใหม่เข้ามามากขึ้น เช่น ปอ มันสำปะหลัง อ้อย และยางพาราเมื่อไม่กี่ปีมานี่ เกษตรกรผลิตข้าวไม่พอกิน จึงต้องนำของป่าไปแลกข้าวทุกปี จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังมีการแลกเปลี่ยนข้าวเกิดขึ้นอยู่ แต่ลดขนาด จำนวนลงมามาก เพราะส่งลูกหลานไปทำงานกรุงเทพฯเมืองสวรรค์ แล้วส่งเงินกลับบ้านซื้อข้าวกิน ยกเว้นครอบครัวที่ไม่มีแรงงานดังกล่าวก็จำเป็นใช้วิธีการแลกข้าว
ผักที่ชาวบ้านปลูกก็มีที่วางขาย มีอาหารสำเร็จรูปด้วย
แม้ว่าจะยังพึ่งพิงป่า แต่ในชีวิตแต่ละวันก็ต้องมีการซื้อหาของกินของใช้ โดยเฉพาะของกิน ชาวไทโซ่ติดนิสัยพี่งพิงป่า จึงไม่ค่อยเพาะปลูกพืชผักสวนครัวเท่าไหร่เมื่อเทียบกับพี่น้องผู้ไท กะเลิง ย้อ และไทยอีสาน ดังนั้นผู้ขายจึงเป็นชนเผ่าอื่นที่ไม่ใช่ไทโซ่
สินค้าตามธรรมชาติที่ไปจับ เก็บมาขาย
ได้มีการสำรวจแบบคร่าวๆ ที่บ้านแก่งนาง ตำบลกกตูม ดงหลวงว่าเดือนๆหนึ่งมีการซื้อขายเท่าไหร่ การสำรวจนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นเอง มิใช่ทั้งหมด พบว่า “มีการใช้จ่ายมากกว่า 2 แสนบาทต่อเดือน” เป็นอย่างน้อย ตั้งคำถามกันว่า “จะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เงินจำนวนนี้ไหลออกไปนอกหมู่บ้าน หรือให้ไหลออกน้อยที่สุด” ผนวกกับการส่งเสริมพัฒนาการใช้ประโยชน์แหล่งน้ำของโครงการที่ไปสร้างให้แก่ครอบครัวและชุมชนที่ผู้เขียนรับผิดชอบอยู่ จึงเกิดความคิดการสนับสนุนให้มี “ตลาดชุมชน” ขึ้น
กรรมการตลาดชุมชนเสนอแผนงานในงานสัมมนาประจำปี
หลักการคือ สนับสนุนให้เกษตรกรผู้ผลิตพืชผักผลไม้ต่างๆในชุมชน และแม่ค้าในชุมชนนั้นจัดทำตลาดขึ้น เพื่อนำผลผลิตการเกษตรพื้นบ้านต่างๆมาซื้อมาขายกันในชุมชน จัดรูปองค์กรขึ้น ตั้งกฎกติกาขึ้น ประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนในชุมชนและชุมชนใกล้เคียงทราบ ห้ามเอาสินค้ามาจากในเมือง และห้ามพ่อค้าเร่มาตั้งแผงขายของ ให้เป็นตลาดของชาวบ้านจริงๆ กิจกรรมนี้โครงการได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่นดำเนินการใน 4 จังหวัด คือ ขอนแก่น มหาสารคาม สกลนครและมุกดาหาร
ทำการส่งเสริมการผลิตพืชผักมาขาย ควบคุมพืชผักมิให้เจือปนสารพิษ ร่วมมือกับอนามัยตำบลช่วยเรื่องความสะอาดและสุขาภิบาลพื้นฐานต่างๆ ร่วมกับ อบต.ในการขอใช้สถานที่เหมาะสมทำตลาดชุมชน ร่วมมือกับโรงเรียนสนับสนุนให้เด็กนักเรียนนำสินค้าจากโรงเรียนมาวางขาย ฯลฯ
ตั้งคณะกรรมการขึ้นกันเอง ทำหน้าที่ต่างๆ นำคณะกรรมการตลาดไปศึกษาดูงานตลาดชุมชนในพื้นที่อื่นๆ จนขึ้นมาดู "ตลาดอิ่มบุญ" ที่เชียงใหม่โน้น นำประสบการณ์ความรู้ไปประยุกติในพื้นที่ต่อไป
ปัจจุบันในมุกดาหารมีตลาดชุมชนเกิดขึ้นแล้ว 3 ชุมชน และภายใต้โครงการนี้ยังเกิดตลาดชุมชนขึ้นอีก 3 จังหวัดดังกล่าวจังหวัดละ 2-3 ชุมชน ผลที่เกิดขึ้นคือ
และที่สำคัญสุด “นี่คือองค์ประกอบหนึ่งของการพึ่งตนเองในระดับชุมชน” เพราะเป็นระบบเศรษฐกิจในชุมชน แม้ว่าจะเล็กๆ แม้ว่าจะต้องพัฒนาก้าวต่อไปอีก แต่ก็เริ่มเค้าลางของความมั่นคงของชุมชนขึ้นแล้ว
สวัสดีค่ะ คุณบางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา)
รู้สึกดีใจแทนชุมชน ที่อย่างน้อยก็มีคนที่ตั้งใจไปช่วยให้เขาอยู่ได้ด้วยตัวเอง น่าภูมิใจจริงๆ ค่ะ ขอสนับสนุนความเห็นของคุณ sasinanda ข้างต้นด้วยค่ะ
สวัสดีครับ sasinanda
ขอบคุณครับที่กล่าวถึงความสำเร็จ แต่เราคิดว่าชาวบ้านเขาได้เรียนรู้ระบบตลาดด้วยตัวเขาเอง การผลิตเพื่อจำหน่ายในชุมชนของเขา ก็มีแรงใจที่จะผลิตมาขาย แม้ว่าจะได้เงินเล็กน้อยแต่สภาพชนบทก็ถือว่ามากพอสมควร และเกิดการหมุนเวียน มีเงินให้ลูกหลานไปโรงเรียนแต่ละวัน เพิ่มจะเริ่มครับ ได้ 3 ปี ต้องพัฒนาไปอีก ยกระดับขึ้นอีกครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับอาจารย์กมลวัลย์
เรียนตรงไปตรงมาว่า สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น (RDI) เป็นตัวหลักในการผลักดันตลาดชุมชนแห่งนี้ โดยโครงการที่ผมรับผิดชอบทำ Contract กัน
เป็นที่พึงพอใจมากทั้งชาวบ้านและโครงการ เพราะเกิดเงินหมุนเวียนหากรวมกันแล้วหลายล้านแล้วครับ
หากเราไม่มีตลาดชุมชนเงินส่วนนี้จะหมุนออกไปข้างนอกชุมชน เพราะชาวบ้านจะไปซื้อของจำเป็นเหล่านี้จากภายนอก เช่นตลาดที่อำเภอ ในเมือง เงินไหลออกเดือนละหลายล้านบาทหากรวมทุกหมู่บ้าน
ผมคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นในระดับชุมชนที่สร้างระบบพึ่งตนเอง แนวความคิดนี้เริ่มขยายมากขึ้น ทางโรงพนาบายที่จังหวัดมหาสารคาม ที่อำเภอบรบือ ที่หน้าอำเภอพลจังหวัดขอนแก่น มีตลาดชุมชนเกิดขึ้นและคึกคักตามฤดูกาลครับ หากผ่านไปแถวนั้นก็ลองแวะดูนะครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะท่านบางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา)
ขอบคุณเรื่องดีดีในเช้านี้ค่ะ
lสวัสดีครับ
ชอบคุณครับ
สวัสดีครับครูอ้อยสิริพร กุ่ยกระโทก
ขอบคุณครับครูอ้อยของพวกเรา
สวัสดีครับคุณ my_space
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
เบิร์ดชอบคำว่า..นี่คือองค์ประกอบหนึ่งในการพึ่งตนเองในระดับชุมชน..มีการลดการใช้ถุงพลาสติกร่วมกับการจัดการขยะด้วยหรือเปล่าคะ ?
สวัสดีครับน้อง เบิร์ด
แน่นอนครับ ถุงพลาสติดอาจจะยังค่อยๆลดไปเอาใบไม้มาใช้แทน
ส่วนขยะนั้นมีคณะกรรมการคอยตรวจและออกระเบียบว่าแม่ค้าคนได้สร้างขยะก็ต้องเอาขยะไปจัดการให้เรียบร้อยด้วย "ใคร่ก่อคนนั้นเก็บ"
อย่างไรก็ตามหลักการเหล่านี้คงต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป เพราะชุมชนโดยธรรมชาติก็สภาพต่างจากเมือง แต่การค่อยๆรณรงค์ไปเรื่อยๆก็จะทำให้ค่อยๆดีขึ่นครับ
อยากไปเที่ยวชมด้วยคนครับ
ชุมชนที่น่าอยู่มากครับ
เชิญครับ ยินดีต้อนรับครับ
ผมกำลังจะไปเยี่ยมชมกล้วยไม้อยู่พอดีครับ
ปลื้มจังที่เห็นความสำเร็จของชุมชนอย่างนี้ ความสำเร็จจุดนี้ยังสามารถเป็นบทเรียน เป็นแรงบันดาลใจให้ที่อื่นๆด้วย
ฝากกราบสวัสดีคุณพี่ข้างกายของพี่บางทรายที่นิยมผ้าคราม น้องคุณนายฯดีใจที่ได้ยินและได้รู้จักคนที่ชอบเหมือนๆกันค่ะ คนข้างกายเขาก็อยากให้น้องคุณนายฯใส่monotone เช่นผ้าย้อมคราม ตัวเขาใส่แต่สีดำทั้งชุด แต่เรายังทำไม่ได้ เสียดายผ้าหลากหลายที่มีอยู่และใช้มาหลายปี
จะให้ส่งหนังสือไปที่ไหนกรุณาไปเขียนทิ้งไว้ที่บล็อกของน้องคุณนายฯนะคะ
น้องคุณนายดอกเตอร์ คนข้างกายพี่เธอเคยเป็นหัวหน้าทีมฝึกอบรม OTOP ให้ทั่วประเทศ ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ที่รับผิดชอบเรื่องนี้อยู่ เมื่อพบสินค้าประเภทนี้เธอก็จะซื้อมาตัดเสื้อเต็มตู้
สำหรับตลาดชุมชน ก็เป็นอะไรที่ลงตัวพอสมควรเพราะเป็นกิจกรรมที่ไม่มีในแผนงาน แต่เมื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี และเป็นไปได้ก็เหมือนคนพร้อมจะวิ่ง แค่ยิงปื่นส่งสัญาณเท่านั้นก็ออกจากจุดเส้น start เลย อย่างไรก็ตาม อุปสรรค ปัญหาก็มีเป็นเรื่องปกติ ก็แก้ไขกันไป ปรับกันไปครับ
เดี๋ยวพี่จะไปทิ้งที่อยู่ไว้ให้ครับ
สวัสดีครับ น้องRanee ใช่แล้วครับ คนเข้มแข็ง ชุมชนเข้มแข็ง ประเทศเข้มแข็ง กิจกรรมนี้แม้ว่าทำมา 2-3 ปีแล้วแต่ก็ต้องพัฒนาไปอีกพอสมควร
เราดีใจที่มันเริ่มขึ้นแล้ว ต่างชุมชนก็พยายามปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพชุมชนของตนเอง แต่ก็มีคู่แข่งที่แข่งกับเราอย่างเต็มที่ในระดับชุมชนเหมือนกัน เดี๋ยวจะเขียนต่อครับ