ดังได้กล่าวใน discharge Planning ตอน Introductions แล้วว่า องค์ประกอบของ discharge planning ประกอบด้วย APIE คือ
A = Assessment
P = Plan
I = Implement
E = Evaluation
จากองค์ประกอบดังกล่าว องค์ประกอบแรกของการทำ discharge planning คือ assessment เราต้องประเมินคนไข้ให้ได้ก่อนว่า เขามี ปัญหาอะไร ในการมาโรงพยาบาลครั้งนี้ เป็น ปัญหาใหม่หรือ ปัญหาสื่อเนื่อง จากการป่วยครั้งก่อน ๆ อะไรเป็น ปัจจัยส่งเสริม ให้เขาป่วย พื้นฐานการปฏิบัติตัว ของเขาเป็นอย่างไร สิ่งแวดล้อมรอบตัว/ความสัมพันธ์ในครอบครัว/สังคม เศรษฐกิจ ฯลฯ เป็นอย่างไร หากเรา ประเมินได้ไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน การดูแล ก็มีโอกาสไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน ตามไปด้วย เสมือนเงาตามตัว คุณสุห้วง พันธ์ถาวรวงศ์ ได้เล่าถึงกลเม็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอในการ ช่วยประเมินคนไข้ ให้ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง เหมาะสม ช่วยไม่ให้ผู้ร่วมวิชาชีพทางสุขภาพ หลงทาง ได้อย่างไร ติดตามอ่านต่อไปนะคะ ค่อย ๆ อ่านอย่างจดจ่อ อย่าใจร้อนอ่านอย่างผ่าน ๆ จะทำให้ผู้อ่านหลงทางหลงประเด็นได้เช่นเดียวกันค่ะ
เธอเล่าว่า เธอได้รับคนไข้ไว้รายหนึ่ง เป็นคนไข้ผู้ชาย อายุประมาณ 60 ปี มาโรงพยาบาลด้วยเรื่อง เชื้อราในช่องปาก แพทย์จึงรับรักษาไว้ในโรงพยาบาล พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าคนไข้อาจเป็น HIV (ไวรัสเอดส์) เนื่องจากมีเชื้อราขึ้นเต็มปาก หลังจากรับไว้ในโรงพยาบาล สักพักหนึ่ง คนไข้ก็มีอาการกระตุกที่ใบหน้าซีกหนึ่ง เมื่อแพทย์เห็นเช่นนั้นก็ตั้งข้อสงสัยเพิ่มว่า ไวรัสนี้อาจขึ้นสมอง แต่ขณะที่คนไข้เริ่มมีอาการกระตุก ๆ ที่หน้านั้น คุณสุห้วงได้ยินญาติเค้าบ่นพึมพำ ๆ ว่า
· “เอ๊ะ คนไข้ไม่รู้เป็นยังไง ตอนนี้ฉี่บ่อยจริง ๆ เลย เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นอย่างนี้”
· คุณสุห้วง เริ่มเอะใจ เพราะช่วงที่รับใหม่สังเกตเห็นเหมือนกันว่า คนไข้ฉี่บ่อยและ ปากแห้ง มาก เหมือนภาวะ ขาดน้ำอย่างรุนแรง
· คุณสุห้วงจึงบอกน้องพยาบาลว่า น้อง พี่ ขอขวดเก็บปัสสาวะคนไข้หน่อย สิ
· เมื่อคนไข้ฉี่เสร็จ คุณสุห้วงก็นั่งดูขวดฉี่ เห็นปุ๊บ ก็ครางว่า “โอ้โห ใสเป็นน้ำเลย” เหมือนเปิดน้ำจากก๊อก แต่คนไข้มีอาการขาดน้ำชนิดรุนแรงอย่างชัดเจน อาการแบบนี้โดยประสบการณ์สงสัยน่าจะเป็นอาการของคนไข้ เบาหวาน
· ดังนั้นเมื่อแพทย์สั่ง เจาะเลือดเพื่อตรวจดูอิเล็คโตรไลท์และแคลเซียม เนื่องจากเห็นคนไข้ กระตุก คุณสุห้วงจึงเสนอความคิดเห็นแก่แพทย์ว่า “หมอคะ พี่ขออนุญาตหยอดใส่ Dextro สักหน่อยได้มั้ยคะ เพราะคนไข้ฉี่ใสมาก ลักษณะของคนไข้ก็แปลก ๆ” ซึ่งแพทย์ก็อนุญาต
· เมื่อเจาะเลือด พอเลือดหยดปุ๊บเนี่ย Dextro มันขึ้น high ขึ้นมาเลย หลังเราส่ง blood sugar ผลออกมา 500 กว่า ๆ เกือบ 600
สรุปได้ว่าตอนแรกที่เรา สงสัยว่าคนไข้เป็น ไวรัสเอดส์ ก็ไม่ใช่ แต่เป็น เบาหวาน แทน ( นี่เป็น discharge planning ที่ทำกันเป็นทีมสหวิชาชีพ จริงๆ ที่ร่วมด้วยช่วยกันในการดูแลคนไข้ )และถ้าคนเป็น เบาหวานรุนแรง ก็มีโอกาสเกิดความต้านทานโรคต่ำ (Low resistant) จึงทำให้เกิดเชื้อราในช่องปากได้ ทำให้พี่จุดคิดถึงหลักการประเมินที่ครูได้พร่ำสอนมาว่า หากเราประเมินได้ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง จะช่วยให้การประเมินเพื่อวินิจฉัยทางการพยาบาลได้ชัดเจน ถูกต้อง แม่นยำขึ้น
เธอกล่าวต่อว่า เวลาพี่เดินผ่านคนไข้แต่ละคน พี่จะไม่ให้ผ่านไปง่าย ๆ แต่เธอจะสะดุดทุกครั้งที่ญาติกล่าวเปรย ๆ หรือเมื่อเห็นอะไรที่ประหลาด/ผิดสังเกต เพราะสิ่งเหล่านี้ เรามักจะได้ในสิ่งที่เราคาดไม่ถึงบ่อย ๆ ดังเช่น พระราชดำรัสของในหลวงที่ว่า บางอย่างมันปิ๊งแว๊บออกมาเท่านั้นเอง แล้วมันก็หายไป เพราะฉะนั้นถ้าเราลองสังเกตดูให้ดี จุดนั้นอาจจะทำให้พยาบาลได้อะไรเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย
จากเรื่องเล่าของคุณสุห้วงทำให้พี่จุดเห็นว่าพี่จุดควรพัฒนาและฝึกทักษะน้อง ๆ พยาบาลของพี่จุดในทุกด้านไม่เฉพาะในด้านของ functional competency และ specific competency เท่านั้น แต่ควรจะมุ่งเน้นให้น้อง ๆ มีทักษะในด้านของ attribute competency ด้วย เพราะจากกรณีตัวอย่างของคุณสุห้วงชี้ให้เห็นชัดเลยค่ะว่า เพราะ ทักษะในตัวของคุณสุห้วงที่มีความละเอียดถี่ถ้วน มีความรอบคอบและไหวพริบดี นอกเหนือจากความรู้และประสบการณ์ในการดูแล มิใช่หรือจึงทำให้เธอมีส่วนช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยจนได้รับการดูแลที่ดีและถูกต้อง
พี่จุดขอชื่นชม ดีใจ และภูมิใจ ในความเป็นพยาบาล (Nurse) ของเธอผู้มีนามว่า คุณสุห้วง พันธ์ถาวรวงศ์ เป็นอย่างยิ่งค่ะ
ตามอ่านอย่างช้า ด้วยใจจดจ่อยู่ค่ะ พี่จุด อยากให้พยาบาลของเรา ได้อ่าน blog พี่จุดบ้างจัง