วันก่อนอ่านหนังสือพิมพ์เจอว่า ช่วงนี้เป็นสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เลยทำให้นึกถึงเรื่องของการศึกษาเกี่ยวกับการอ่านหนังสือของคนไทยที่พบว่าปี ๆ นึง คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยกันคนละไม่กี่บรรทัด (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น 6 บรรทัด..ไม่แน่ใจค่ะ) ทำให้นึกถึงเรื่องของการปลูกฝังการอ่านหนังสือให้แก่เด็ก ๆ เยาวชนคนไทยของเรา…จากประสบการณ์ของผู้เขียนคิดว่าการเป็นตัวอย่างของผู้ใหญ่ในครอบครัวมีความสำคัญอย่างมาก
เมื่อนึกถึงภาพของตัวเองตอนเด็ก ๆ คุณตาของผู้เขียนเป็นคุณครู และชอบอ่านหนังสือนิยายมาก ๆ สมัยนั้นเท่าที่จำได้..ถ้าไปบ้านคุณตาตอนปิดเทอมก็จะเห็นหนังสือวางอยู่ในทุกที่ของบ้านโดยเฉพาะตู้หนังสือจะมีนิยายเต็มตู้ไปหมด ทั้งที่เป็น พอกเกตบุ๊ค นิตยสารรายเดือน รายสัปดาห์ หนังสือการ์ตูนเล่มละบาท ฯลฯ ที่จำได้แม่นเห็นจะเป็นนิตยสารรายปักษ์ ที่ชื่อ “ทานตะวัน” กับ “บางกอก” บางคนอาจร้องอ๋อ..เพราะเดี๋ยวนี้ก็ยังมีวางขายกันอยู่..จำได้ว่าตัวเองอ่านนิยายเรื่อง “เพชรพระอุมา” ก็จากหนังสือเหล่านี้แหละ...
จากที่คุณตาเป็นคนรักการอ่านทำให้มีผลไปถึงลูก ๆ หลาน ๆ ของคุณตาด้วย...เพราะเราจะเห็นว่าการอ่านหนังสือเนี่ยเป็นเรื่องปกติมาก...ใคร ๆ ในบ้านเค้าก็ทำกัน...ทำให้ผู้เขียนและพี่ ๆ รักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ อ่านหนังสือได้ทุกประเภท (ยกเว้นหนังสือเรียน..หึ..หึ..อ่านทีไรเป็นง่วงนอนทุกที)
การรักการอ่านมันถ่ายทอดมาถึงรุ่นเหลนของคุณตาด้วย ผู้เขียนมีหลานสาววัย 7 ขวบ รักการอ่านหนังสือไม่แพ้กันมักจะร้องขอให้พาไปร้านหนังสือเสมอ ๆ ..เพราะเห็นคุณพ่อ คุณแม่ อ่านหนังสือเป็นเรื่องปกติ...ส่วนคุณแม่เค้าเองก็มีกลยุทธ์ให้ลูกสาวอ่านหนังสือโดยการเปลี่ยนกันเล่านิทานก่อนนอนคนละวันสลับกันไป..วันใหนที่เป็นเวรของหลานสาวอ่านนิทานให้คุณแม่ฟัง...เราคนฟังยังลุ้นแทบแย่ว่านิทานเรื่องนี้จะจบไหมเนี่ย..เพราะหลานสาว อายุ 7 ขวบ อ่านหนังสือก็ยังไม่คล่อง อ่านไปสะกดคำไป..เช่น และแล้วลูกหมี..นอ..ออ..ยอ..นอย..ไม้โทน้อย..ก็พบ..พอ..เอือ..เพือ..เพือ..นอ..เพือน..ไม้เอกเพื่อน..เป็นอย่างนี้ไปตลอด...พออ่านไปซักพักทั้งคุณแม่ คุณลูกก็ชวนกันนอนดีกว่า..เพราะกว่าจะได้ซักหน้าต้องใช้เวลานานมาก ๆ …
จากทั้งหมดที่เล่ามาผู้เขียนว่าการปลูกฝังนิสัยเรื่องการอ่านนี่..ถ้ามีผู้ใหญ่เป็นตัวอย่าง เด็กเค้าก็จะทำตาม..โดยส่วนตัวผู้เขียนว่าการอ่านต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวจริง ๆ ค่ะ...(ส่วนใครจะเอากลยุทธ์การอ่านหนังสือนิทานไปใช้ไม่ห้ามนะคะ..แถมยังได้ความใกล้ชิดกับลูก ๆ อีก....)
ชอบอ่านหนังสือเช่นเดียวกันค่ะ ตอนแรกก็เริ่มจากหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นก่อน ต่อมาก็เริ่มเบื่อแล้วก็หานิยายอ่าน จำได้ว่าตอนอยู่มัธยมต้นอ่านนิยายของห้องสมุดประชาชนจนหมดทุกเรื่อง..หลังจากนั้นก็เริ่มรู้แนวการดำเนินเรื่องก็เริ่มเบื่ออีก..ก็เลยหันมาอ่านนิยายอิงประวัติศาสตร์อย่างเช่น สี่แผ่นดิน ผู้ชนะสิบทิศ และวรรณคดี เช่น อิเหนา ขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังชอบอ่านนิยาย แต่หนังสืออื่น ๆ ก็อ่านได้ จะขึ้นรถลงเรือก็ต้องมีหนังสือติดตัวไว้ตลอด (แต่อ่านหนังสือบนรถไม่ดีต่อสายตานะคะ)
เห็นด้วยนะคะกับผู้เขียนที่บอกไว้ว่าครอบครัวมีส่วนอย่างมากกับการเป็นแบบอย่างและปลูกฝังให้คนในครอบครัวรักการอ่าน เพราะตัวเองก็อยู่ในครอบครัวที่ชอบอ่านหนังสือ พ่อกับแม่เป็นแฟนพันธุ์แท้หนังสือ "บางกอก" กับ "ทานตะวัน" จำได้ว่าหน้าปกหนังสือที่มีดาราส่วย ๆ พ่อตัดแล้วแปะฝาบ้านได้ทั้งหลังเลยล่ะ (หึ ๆ ) ปัจจุบันพ่อหันมาอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว คืออ่านทุกหน้าทุกคอลัมน์เลยล่ะ เรียกได้ว่าเกินคุ้มจริง ๆ กับเงิน 8 บาทที่ซื้อหนังสือพิมพ์มา
ประโยชน์ของการอ่านนั้นมีมากมายและเกือบทุกคนก็จะรู้อยู่แล้ว แต่ก็น่าแปลกที่บ้านเรามีน้อยคนที่จะรักการอ่าน เมื่อหลายปีที่แล้วจำไม่ได้ว่างานอะไร มีการจัดสัปดาห์หนังสือขึ้นที่ราชภัฏ (ส่วนวังจันทน์) มีคนมาดูงานน้อยมากเมื่อเทียบกับอัตราประชากร มันเป็นสิ่งที่สะท้อนได้อย่างดีว่า....เรารักการอ่านกันเพียงใด?
เคล็ดลับง่าย ๆ อ่านในสิ่งที่เราชอบและสนใจก่อน หลังจากนั้นคุณจะพบว่าโลกนี้มีสิ่งที่เราไม่รู้อย่างมหาศาลเลยทีเดียวเชียว
สวัสดีค่ะคุณwandee
ตอบคุณดอกไม้ทะเลค่ะ