เป็นเรื่องเก็บตกจากการสัมมนาภาคเมื่อ 24-25 มี.ค.50 นี้อีกค่ะ ดิฉันได้รับมอบหมายให้เป็น “คุณอำนวย ที่ชื่อจริงว่าปลื้มจิต” ของกลุ่ม 4 มีสมาชิก 5 คน มี “คุณลิขิต” ถึง 2 คน น้องเอ็ม (จริยา) และคุณรัตติยา จากคณะวิทยาศาสตร์ มอ. เวลา 1.30 ชั่วโมงผ่านไป ได้เก็บบันทึกความประทับใจไว้ได้มากมาย เมื่อจบชั่วโมงเรื่องเล่าแล้ว คุณอำนวย (ชื่อโหล) ทั้งหลาย ก็นำมาเล่าต่อในกลุ่มใหญ่ที่นั่งล้อมวงกัน และตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องจากกลุ่มอื่นๆ
ความสำเร็จเล็กๆ แต่เป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่จากห้องเจาะเลือดที่เล่าโดย น้องอร (อรอนงค์) และพี่น้อย (นันทวัลย์)
เธอทั้งสองจะต้องพบปะผู้คนที่มาเจาะเลือดหรือเก็บสิ่งส่งตรวจต่างๆ เช่น ปัสสาวะ อุจจาระ เสมหะ ฯลฯ วันละไม่ต่ำกว่า 600 คน
ยิ่งมากคน ยิ่งมากความ และยิ่งมากด้วยอารมณ์ (ที่ร้อนแรงพร้อมจะระเบิด)
คนห้องเจาะเลือดเขาไม่ต้องกู้ระเบิดด้วยกลวิธีอย่างไร น่าสนใจ
น่าสนใจตรงที่เขาวิเคราะห์สถานการณ์ร่วมกัน อะไรคือปัญหาของระบบงานและจะทำอย่างไรให้งานบริการเป็นเลิศ ถูกใจ และถูกต้องตามหลักวิชา ต่อผู้รับบริการ
น้องอรบอกว่า “ต้องใจเย็น ค่อยพูดค่อยจา ฟังปัญหาเขาให้มากขึ้น”
วันหนึ่ง
ผู้ป่วย “ทำไมราคาแล็บแพงจังเลย”
น้องอร “ขอเช็คดูก่อนค่ะว่าตรวจอะไรบ้าง” และก็พบว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นในกระบวนการจริง เธอจึงสวมวิญญาณผู้พิทักษ์สิทธิ์ผู้รับบริการ จัดการแก้ไขประสานงานให้ ผู้ป่วยก็แฮปปี้ น้อยอรก็มีสุข (ใจ) แต่ถ้าเธอเพิกเฉยต่อคำบอกกล่าว เหตุการณ์ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
มาถึงเรื่องเล่าของพี่น้อยบ้าง เธอบอกว่าคนที่มาห้องเจาะเลือดมีตั้งแต่เด็กจนถึงแก่มากๆ มาด้วยรถเข็น เปลนอน เขาก็ช่วยกันจัดระบบ ถ้าอายุ 60 ขึ้นก็จะมีคิวให้พิเศษ ไม่ต้องมารวมกับหนุ่มสาว ทั้งผู้ป่วยและญาติ แฮปปี้ และชมเชยการจัดการด้วยวิธีนี้
พอมาถึงเด็กนี่ซิ จะทำอย่างไรไม่ให้ร้องกระจองอแงเพราะกลัวเข็ม แรกๆ ใครมีขนมติดตัวมาเพื่อจะเป็นอาหารเช้าหรือยามหิวก็จะเอามาแจกล่อใจเด็กก่อน “ลูกอย่างร้องนะคะ ป้ามีขนมให้หลังเจาะเลือดเสร็จ” ชักได้ผลแฮะ ก็เลยมาคิดร่วมกันอีกว่า จะล้วงกระเป๋าหรือปิ่นโตผู้ใจดีบ่อยๆ ไม่ดีแน่ มองไปรอบๆ ตัว อ้าว ! เรามีทุนอยู่รอบตัว “กระดาษ กล่อง พลาสติก ฯลฯ” ล้วนแต่ขายได้ ก็เลยเกิดโครงการ “ล่อใจเด็ก” (แต่ไม่แตกนะคะ)
เกิดอะไรขึ้น มีความสะดวกต่อการปฏิบัติงาน ผู้รับบริการและญาติเกิดความพึงพอใจ ผู้ปฏิบัติงานก็ภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือผู้รับบริการ
ตัวอย่างเล็กๆ ทั้งสองนี้ เกิดจากจิตใจที่จะช่วยเหลือ โดยไม่หวังผลตอบแทน แต่อยากบอกว่าที่แท้แล้วคนทำได้ผลตอบแทนเป็นความ “อิ่มใจ ได้บุญ” ทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อทำบุญทุกวันจิตใจก็เบิกบาน ทำงานก็เป็นสุข มีหรือทุกข์จะกล้ำกลาย จริงไหมคะ
อยากให้วัฒนธรรมนี้ดำรงคงอยู่และแพร่ขยายวงกว้างออกไปมากๆ สังคมโดยรวมจะร่มเย็น เป็นสุข
มารับสัมผัส....จิตแห่งสุขนี้ด้วยค่ะ
อ่านแล้วมีมีความสุข ทำให้ใจเราอ่อนละมุนขึ้น...นี่แหละค่ะของความดีในการเล่าเรื่องความสำเร็จ ความภูมิใจ เพราะอิ่มใจทั้งผู้เล่าและผู้ฟังค่ะ...
(^_____^)
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้ค่ะ
กะปุ๋ม
เรื่องเล่าดีๆแบบนี้คงเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ต่อๆไปนะคะ
ขอบคุณที่ทางภาควิชาฯเปิดโอกาสให้คนทำงานทั้งหลายได้นำมาเสนอค่ะ แล้วก็ขอบคุณคุณอำนวยทั้งหลายของเรา (ชื่อโหลแต่ผลงานคับแก้ว) ที่นำมาสื่อสารต่อ อยากอ่านจากทุกมุมมองเลยค่ะ
นำรูปกลุ่ม 4 มาฝาก (ฝีมือคุณไมโตเขาหละ)