ได้อ่านข้อเขียนของคุณแผ่นดิน เกี่ยวกับเสียงนกหวีดที่หายไปจากค่ายอาสาพัฒนา กลายเป็นเครื่องเสียงสมัยใหม่ อ่านแล้วตกใจว่าค่ายอาสาพัฒนา เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลง (จากสามสิบกว่าปีที่แล้ว) ไปถึงขนาดนี้แล้วหรือ หรือว่าเราวิ่งตามสังคมไม่ทันแล้ว (เพราะอายุมากแล้ว) อย่างไรก็ตามก็ยังอยากจะพูดถึงประสบการณ์การอยู่ค่าย (พูดถึงทีไรมีความสุขทุกที) ถึงแม้วันเวลาที่ผ่านมาจะสามสิบกว่าปีแล้วก็ตาม แต่ในความรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปเร็วๆนี้เอง ความรู้สึกแบบนี้คงจะเหมือนกันกับชาวค่ายส่วนใหญ่นั่นเอง
เมื่อสมัยเป็นนิสิต ได้สมัครไปค่ายของกลุ่มนิสิตนักศึกษาอาสาสมัครแห่งประเทศไทย (รวมทุกสถาบัน) ก่อนออกไปอยู่ค่ายจริงจะต้องไปอยู่ค่ายทดลองก่อน ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้เราได้เรียนรู้ชีวิตและการทำงานของชาวค่าย รู้บทบาทหน้าที่ของเราเมื่อออกสู่สถานการณ์จริง เพราะในการไปอยู่ค่ายจริงเรา (นิสิตนักศึกษา) จะต้องแยกย้ายกันไปตามจังหวัดต่างๆ ค่ายละ 10-20 คน ไปทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง ของนักเรียนระดับมัธยมในจังหวัดที่อาสาสมัครมาเป็นชาวค่ายด้วย พวกพี่เลี้ยงจะต้องบริหารจัดการค่ายเองทั้งหมด ตั้งแต่การหาทุนในการดำเนินการ ไปจนถึงปิดค่าย นับเวลาในการเข้าค่ายจริง ๆ 20 วัน (ไม่รวมการเตรียมงาน) ช่วงเวลาการอยู่ค่ายถึงแม้จะไม่ยาวนานนัก แต่ความ ผูกพันธ์ทางใจนั้นยิ่งใหญ่ จำได้ว่าวันปิดค่าย ร้องไห้กันเกือบทุกคน คนที่ไม่ร้อง ก็กลั้นน้ำตากันแบบสุดๆเลย ถึงแม้กิจกรรมค่ายจะจบลง แ ต่สิ่งทีชาวค่ายได้รับติดตัวมาซิ ยิ่งใหญ่และคงทนอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เข้าใจอย่างลึกซึ้งกับคำพูดที่ว่า “คนสร้างงาน แต่งานก็สร้างคน”
*****************
ไม่มีความเห็น