ผมพยายามแกะรอยโครงสร้างการปกครองที่ซ้อนทับกันของรัฐไทยเพื่อหาทางจัดการความรู้ให้บรรลุเป้าหมาย
เมืองไทยอยู่เย็นเป็นสุขตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
ด้วยการบูรณาการการพัฒนาทั้งจังหวัดนครศรีธรรมราช
เพื่อไปสู่เป้าหมายจังหวัดอยู่เย็นเป็นสุข ประชาชนอยู่ดีมีสุข
ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งทำได้ยากกกกกมาก
เรามีทุนคนคือเจ้าหน้าที่ที่ตั้งใจ และขยันขันแข็งจำนวนไม่น้อยจากทุกส่วนราชการทั้งส่วนกลาง(ที่มีภารกิจในจังหวัด)ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น
เรามีทุนคนจากผู้นำชุมชนทั้งผู้นำธรรมชาติและผู้นำทางการที่เสียสละ ทำงานอยู่ในหมู่บ้าน ตำบลเป็นจำนวนมาก
เรามีทุนเงินตราจากงบประมาณแผ่นดินที่หวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจและการพัฒนาสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้จากทุกทิศทางรวมกันเป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว
นอกจากนี้ เรายังมีทุนทางสังคมและทุนทรัพยากรธรรมชาติในความเป็นเมืองนครศรีธรรมราชที่มีความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทั้งป่าเขา ทะเล และผืนดินร่วมอยู่ในวัฒนธรรมความเป็นเกลอ
การทำงานอย่างต่อเนื่องในเรื่องนี้ ทำให้ผมเข้าใจข้อจำกัดของรัฐบาลไทยรักไทยที่พยายามปฏิรูประบบราชการโดยอาศัยทั้งพระเดชและพระคุณแต่ก็คืบไปข้างหน้าไม่มากนัก
(ขอมองในส่วนที่เป็นความตั้งใจ ข้อครหาเรื่องการจัดวางฐานอำนาจในทางการเมืองถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา)
จากตัวอย่างของนครศรีธรรมราช ผมเห็นว่า จำเป็นต้องเปลี่ยนที่hardwareคือ
โครงสร้างการปกครองที่ซ้อนทับกันหลายชั้นจนเกินไป ทำให้ทุนต่างๆที่มีอยู่ไม่อาจเสริมพลังกันได้ แม้จะมีความพร้อมในการพัฒนามากที่สุดช่วงหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านทางสังคม
ผมเห็นว่า ถ้าไม่แก้ไขที่hardware งบพัฒนาจะเป็นแค่เงินกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการไหลเวียน มีผลในการพัฒนา(เกิดผลลัพท์และผลกระทบ)น้อยมาก
การจัดการความรู้คือsoftware ย่อมทำได้มากที่สุดเท่าที่ความสามารถของhardwareมีให้
ผมไม่อาจบอกได้ว่าhardwareควรเป็นเช่นไร? จึงจะทำให้การจัดการความรู้มีพลังมากกว่านี้
Softwareสำคัญของการจัดการความรู้อยู่ที่ คน และ คนก็ผูกโยงอยู่กับระบบและโครงสร้าง
แน่นอนว่าช่วงเปลี่ยนผ่านที่ลัดสั้นที่สุดคือ การทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นในคนในทุกภาคส่วน เพราะเมื่อเกิดการเรียนรู้ถึงจุดหนึ่งย่อมทำให้ระบบสั่นคลอนจนเกิดการเปลี่ยนแปลง
ถ้าเป็นเช่นนั้น การจัดการความรู้เมืองนครคงกำลังทำหน้าที่นั้นกระมัง?
ไม่มีความเห็น