จับประเด็น National Forum HA (2)


เหตุเกิดที่นครพิงค์ สันทราย และสปร (2)

ว่าจะเขียนตอนเดียวจบ แต่เนื่องจากมีรายละเอียดบางอย่างที่ควรจะเพิ่มเติม มิฉะนั้นจะไม่ได้สื่ออะไรอย่างที่ต้องการ จะขอกล่าวถึงที่มาที่ไปของบทสรุปในการใช้สุนทรียสนทนา ของทั้งสาม รพ. เท่าที่ได้รับฟังมา และคิดว่าอาจจะสามารถนำไปใช้ ดัดแปลงใช้ หรือคิดใคร่ครวญต่อไปได้

นครพิงค์ การแก้ปัญหาเรื่องการประชุม

อันว่าสุนทรียสนทนานั้น เบื้องต้นไม่ใช่การสนทนาที่เราเพ่งเล็ง เน้นกัน แต่เป็น การฟัง ฟังอย่างใคร่ครวญไตร่ตรอง ฟังอย่างลึกซึ้ง ฟังโดยไม่ตัดสิน การฟังแบบนี้ทำให้ข้อมูลข่าวสารสามารถทะลุผ่าน prejudice  หรือ อุปสรรค ความลำเอียง ชอบ/ไม่ชอบ ตัดสินถูก/ผิด ลงไปได้ และเนื่องจากอุปสรรคทั้งหมดที่ว่านี้เองที่เป็นสาเหตุของปัญหานานาประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประชุมที่ ไม่มีใครฟังใคร แต่ละคนเข้ามาเพื่อจะพูดเรื่องของตน นั้น ในที่สุดผลสรุปของการประชุมก็ไม่เป็นที่พึงพอใจของใครเลย เพราะความคิดเห็นไม่สามารสื่อหากันได้ ผลสรุป ไม่ว่าจะโดย vote, majority vote หรือ การฟันธงตัดสินโดย CEO ก็ตาม เมื่อไม่ได้เกิดจากการสนทนาที่ดี ฟังที่ดี ก็จะขาดซึ่งความประนีประนอม มีแต่ hostile หรือความรู้สึกลบ แบ่งแยกพวก ไม่เห็นด้วย คลื่นใต้น้ำ ต่างๆนานา การประชุมแบบนี้ บางครั้งใช้เวลามากเหลือเกินในแต่ละประเด็น ในแต่ละวาระ มีคนพูด (ตามคิว) จำนวนมาก แต่ตอนที่คนอื่นพูดก็ไม่ได้ฟัง ถึงตอนตัวเองพูดคนอื่นก็ไม่ได้ฟังเช่นเดียวกัน หลายๆคนเมื่อเข้าประชุมในที่สุดก็จะรู้สึกว่าเป็นการเสียทั้งเวลา เสียทั้งอารมณ์ เสียเจตนาดีๆ พกพากลับออกมาด้วยอารมณ์ที่ "คาร่อง" คือออกมาจากร่องอารมณ์ amygdala ไม่ได้

แต่การที่ผู้เข้าร่วมประชุมได้ฝึก การฟัง มานั้น เขาก็จะสามารถมีสติที่จะรับรู้เรื่องราวของคนอื่นได้ดีขึ้น เพียงหยุดการตัดสินเรื่องถูก/ผิด ดี/ชั่ว เขาก็สามารถผ่านการฟึงทุกประเด็น ทุกความหลากหลายได้โดยไม่ได้รู้สึกว่าวาระวันนี้มันมีแต่เรื่องลบๆ เรื่องไร้สาระ เรื่องไม่มีประโยชน์ เพราะการที่สามารถหน่วง ห้อยแขวน การตัดสินนั้นได้จนกระทั่งข้อมูลสามรถจมลงไปขาลงของตัว U ดูดซับ theta knoweledge ของตนเองอย่างช้าๆ เมื่อถึงเวลา respond จึงไม่ผลีผลาม มีแต่ความรู้สึกเป็นกลาง และให้ความเห็นที่เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายได้

สวรรค์ประชารักษ์ การแก้ปัญหาครอบครัว กับคุณภาพ

คนที่ทำงานไม่ได้เต็มที่ ไม่มีความสุขนั้น บางทีปัญหาไม่ได้อยู่ที่ที่ทำงานอย่างเดียว เหมือนอย่างที่เคยพูดในบทความ "องค์กรมิใช่เครื่องจักร ต้องการความรักและความเข้าใจ" มนุษย์นั้นเป็นองค์รวม สามารถถูกกระทบกระแทกจากสิ่งแวดล้อมทุกอย่างได้ ครอบครัวเป็น unit ของสังคมที่เล็กที่สุด และสามารถมีผลกระทบต่อความสุข ต่อ well-being ของคน และในที่สุดก็กระทบต่อพลังในการคงอยู่ พลังในการทำงานอย่างแน่นอน

และที่น่าสนใจก็คือ ไม่ว่าปัญหาที่บ้าน จะเป็นปัญหาหลัก หรือปัญหารอง แต่ถ้าเราได้แก้ไข และทำให้ชีวิตที่บ้าน ที่ครอบครัว มีความสุขขึ้น ปรากฏว่าปัญหาที่ทำงานมันพลอยจะลดน้อยลงไปได้ด้วย หรือแม้กระทั่งหายไปเลยก็มี องค์กรที่ผู้บริหารมีความเป็นห่วงใย ไม่เพียงแต่ในสวัสดิการที่ทำงาน แต่รวมไปถึง กะปิ น้ำปลา ข้าวสาร นั้น จะให้ ความรู้สึก loyalty ที่ไม่อาจจะเปรียบเทียบกันได้เลย เมื่อคนเราได้รับการดูแลเป็นอย่างดีไปถึงครอบครัวนั้น ก็จะรู้สึกถึง ความเป็นครอบครัวเดียวกัน เลือดเนื้อเดียวกัน เป็นความรู้สึกคนละอย่างกับการดูแลคือการให้เงินเดือนประจำเดือนเท่านั้นอย่างมากมาย

สันทราย สุนทรียสนทนากับระบบคุณภาพ

ระบบบริหารเชิงธุรกิจแบบ old science นั้น เน้น "ประสิทธิภาพ" ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหายอะไร ถ้าเพียงแต่ระบบนี้จะยังคงพิจารณาถึง input และ outcome เชิงมนุษยศาสตร์ด้วย

การลงทุน การมีการสูญเสีย ชำรุด เสียหายของต้นทุน เป็นสิ่งที่ต้องนำมาคิด นำมาใช้คำนวณอยู่แล้ว แต่อย่าไปคิดคำนวณเฉพาะที่จับต้องได้ hman resource ก็เป็นอะไรที่สามารถชำรุด เสียหาย เสื่อมโทรม ได้เหมือนกัน แถมอะหลั่ยยังหาได้ยากกว่า ซ่อมแซมยากกว่า และวิธีที่ดีที่สุดก็คือ good maintenance และป้องกันไม่ให้ชำรุด จึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

การประเมิน "คน" นั้น ต้องทำด้วยความประณีต discreet และช่ำชองในเรื่อง human perception, psychology และแต่ละที่ แต่ละประเทศ แต่ละวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน จะเอา protocol ของประเทศหนึ่งไปครอบใส่อีกหมู่บ้านหนึ่งคนละซีกโลกนั้น เป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง

ปรากฏว่าเมื่อมีการปรับคุณค่าการทำงานของคนใหม่ ทุกๆคนเป็นอัจฉริยะในที่ทางของตนเอง บางทีศัลยแพทย์เปลี่ยนหัวใจยังต้องพึ่งพาช่างไฟมาเปลี่ยนฟิวส์ที่บ้านเลย ฉะนั้นไม่มี hierrachy ในการแบ่งชั้นวรรณะของคน องค์กรนั้นเปรียบเสมือนร่างกาย ที่อาศัยการทำวานร่วมกันที่ซับซ้อน สมองที่ว่าสำคัญที่สุด ถ้าทวารหนักไม่ถ่าย ถ่ายไม่ออก chit hits the brain ก็จะ sepsis คิดอะไรไม่ออกได้เหมือนกัน ดังนั้นการทำคุณภาพทีอาศัยทุกคนทีมีที่ทางของตนเอง และที่ทางนั้นๆนำมาประกอบเป็นคุณภาพขององค์กรใน style ที่ unique ของตนเอง ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี ดังที่เจไดวฆได้นำมาใช้ ปรับใช้ ในสันทราย

สามหนุ่ม (สาว) สามมุม จากมรรคาเดียวกันแห่งสุนทรียสนทนา ก็ได้เปิดแนวทางใหม่ของการบริหารจัดการองค์กรมนุษย์ให้เราฟัง ณ impact เมืองทองธานีนี้ นี่เอง

 

หมายเลขบันทึก: 85946เขียนเมื่อ 23 มีนาคม 2007 15:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:53 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

กลับมารายงานตัวแล้วครับ ลูกใครครับน่ารักกว่าพ่ออีก 5555 พึ่งกลับมาถึงตามอ่านของท่านนกไฟอยู่ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นใน 3-4 วัน ขอบอกว่า ระเบิดระเบ้อมาก ขอเวลานิดหนึ่งจะเล่าให้ฟัง แต่คาดว่าคงมีของท่าน โยดาวญ ลงมาให้ก่อนแน่นอน แวะมาทักกลัวจะเหงาน่ะ

แอบไปชิมลางที่วงน้ำชาแล้ว น่าจะเข้มข้นมากเลย เขียนมาสัก 20 ตอนจบนะท่านเจไดวฆ ปลายปีนี้เราจะได้ออก Encyclopeniawongnamchatica
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท