ได้รับเกียรติจากน้องดอกแก้ว Book tag ครับ ผู้บันทึกชอบอ่านหนังสือ และสะสมหนังสือ ส่วนมากเป็นทางวิชาการ สารคดี เกล็ดประวัติ จนที่บ้านจัดเป็นห้องสมุดส่วนตัวมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่จำเป็นต้องย้ายห้องทำงานที่บ้านเลยมั่วไปเลย ยังไม่ได้จัดระบบอีกเลย ขณะที่จำนวนหนังสือก็มากขึ้น มากขึ้น เคยโละ ไปแล้วครั้ง สองครั้ง เพราะมีใครๆ กล่าวว่า หากหนังสืออะไรไม่เคยหยิบมา 10 ปีแล้วก็ทิ้งไปได้แล้ว แสดงว่าไม่มีประโยชน์ เพียงแต่มันมีวางอยู่ในบ้านเท่านั้นเอง ดังนั้นมีหนังสือในดวงใจมากมายหลายเล่มทั้งในอดีต และปัจจุบัน ขออนุญาตผสมผสานเก่ากับใหม่ก็แล้วกันนะครับ
หนึ่ง:- คุณหมิ้ม ปะพบบุญ เพื่อนรักคนหนึ่ง เราเรียนมาด้วยกันที่เชียงใหม่ เกิดความหน่าย ต่อโลกเป็นจริง จึงไปปฏิบัติธรรมที่สำนักธรรมแห่งหนึ่งที่ลำปางแล้วส่งหนังสือของ “ดังตฤณ” มาให้อ่าน เป็นฉบับที่พิมพ์ครั้งที่ 22 ครับ ผมชอบมากเพราะเข้ากับจริตของตนเองที่ ทานมังสวิรัติมา เกือบ 10 ปีแล้ว เคยบวชที่สำนักปฏิบัติธรรมมา 1 พรรษา และสำนึกเสมอว่าคนเรามักจะสร้างชีวิตเพื่อปัจจุบันกันจนลืมไปว่าควรจะต้องสร้างสมสิ่งที่จะไปใช้ใน “ชีวิตหลังความตาย” ธรรมะได้กล่อมเกลาจิตของเราให้เย็นลง และเตือนสติอยู่บ่อยๆ เมื่อเรายังเป็นปุถุชน การดำเนินชีวิตไปวันวันหนึ่งนั้นโอกาสที่พลั้งเผลอมีมากเหลือเกิน เราต้องเตือนตัวเอง และน้อมนำธรรมมาใช้ในชีวิตเท่าที่จะทำได้ท่ามกลางวิถีชีวิตคนธรรมดาที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง ชีวิตครอบครัว หน้าที่การงาน และสังคม หนังสือเล่มนี้ชื่อ “เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน”.. ลองหยิบมาดูซิครับ
สอง:- ปี พ.ศ. 2517 ผู้เขียนเริ่มไปทำงานที่ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ครั้งแรกนั้น ทางหน่วยงานส่งไปฝึกงานที่ โครงการบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย (Thailand Rural Reconstruction Movement, TRRM) จังหวัดชัยนาท ซึ่ง ดร.ป๋วย อึ่งภากรณ์เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น ผู้เขียนพบรุ่นพี่ๆที่อุทิศตัวทำงานเพื่อชนบทครั้งแรกที่นั่นมากมายหลายคน หนึ่งในนั้นคือ พี่เปี๊ยก (บำรุง บุญปัญญา) ผมละเฝ้าใฝ่ฝันว่าพี่เปี๊ยกควรจะเป็นคนหนึ่งที่คงคุณค่ากับรางวัล แม็กไซไซ เพราะพี่ได้อุทิศชีวิต ทั้งชีวิตจริงๆให้กับสังคม ที่น้อยคนจะอุทิศให้ได้ พี่เป็นคนที่จบปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง Soil science จาก มก. ได้ทุนจาก British Council ไปเรียนที่ มหาวิทยาลัย leading ประเทศอังกฤษ
แต่ขบถอาจารย์เมื่อพบว่าการเรียนในชั้นไม่ใช่ทางออกของแก้ไขปัญหาความยากจน กลับมาทำงานที่เดิมต่อ และเป็นพี่ใหญ่อยู่ในวงการพัฒนาสังคมแห่งอีสานปัจจุบัน วงการให้ฉายาพี่ว่า “ราชสีห์แห่งที่ราบสูง” ยามที่ผมตกงานพี่เปี๊ยกมีน้ำใจที่สูงส่ง โดยส่งเงินให้ใช้ ยามที่ภรรยาผมเดินทางไปเรียนต่อที่เยอรมัน พี่ได้ส่งเงินไปสนับสนุน ยามที่ใครต่อใครคิดอะไรไม่ออก แก้ปัญหาสังคมไม่ได้ พี่เปี๊ยกเป็นคนแรกที่พวกเราคิดถึง พี่เปี๊ยกเป็นคนแรกๆที่เปิดประเด็นการพัฒนาสังคมในแนววัฒนธรรมชุมชน จนกลายมาเป็นกระแสของการพัฒนาถึงปัจจุบันนี้ และผู้เขียนก็ใช้แนวทางนี้มาทำงานจนถึงปัจจุบัน พี่เป็นคนบ้านหนองผำ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ บ้านเดียวกับท่านหงา คาราวาน
เมื่อ พ.ศ. 2520 ผู้เขียนไปสัมมนาที่ Rose Garden Hotel สามพราน ในห้องพักหรูนั้นมีภาพที่ฝาผนังห้องเป็นวิวชนบทสวยงามมาก ผมเฝ้าดูแล้วก็เขียนความรู้สึกลงบนสมุดโน้ตตัวเองว่า ... “ศิลปินท่านใดหนอ ใส่ฝีมือลงบนผ้าผืนนี้ออกมาเป็นภาพชนบท ที่สื่อให้เห็นความงาม เรียบง่าย ความสงบสุข ร่มเย็นของชนบทไทย ภาพนี้คงมีราคามากพอสมควรทีเดียว ชนบทที่มีความสุขในฝันถูกสร้างขึ้นแล้วบนกรอบผ้าชิ้นนี้ แต่ชนบทจริงๆ.. มีศิลปินชีวิตกำลังวาดให้ชาวบ้านมีความสุขด้วยสองมือ และคงใช้เวลานานเท่าชีวิตของท่านเลยทีเดียว ศิลปินชีวิตผู้ลงมือวาดสังคมจริงๆให้มีความสุขนี้คือ พี่เปี๊ยก บำรุง บุญปัญญา”
มาวันนี้มีน้องๆ นำโดย สนั่น ชูสกุล รวบรวมบทความของพี่เปี๊ยกในเรื่องวัฒนธรรมชุมชนออกมาในรูปเล่มชื่อว่า “3 ทศวรรษ แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน” ผมอ่านแล้วอ่านอีกครับ ท่านที่ทำงานกับคน ควรหามาอ่านครับ
ขอบคุณค่ะ ที่นำเรื่องราวดีๆ มาเล่า อ่านแล้วได้รู้ ได้ทราบ หลายเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน
อยากอ่านหนังสือเล่มนี้จัง “3 ทศวรรษ แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน”
สวัสดีค่ะคุณบางทราย
เบิร์ดชอบ " ดังตฤน " เขียน เสียดายคนตายไม่ได้อ่านเหมือนกันค่ะ เป็นเล่มโปรดอีกเล่มหนึ่งของเบิร์ดเลย ดังตฤนเขียนหนังสือหลายๆเล่มที่น่าสนใจ เล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มหนึ่งที่โดดเด่น..ส่วน“3 ทศวรรษ แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน” ไม่เคยอ่านค่ะ แต่พออ่านที่คุณบางทรายเขียนแล้วอยากอ่าน มากค่ะ ไม่ทราบว่ายังมีขายอยู่หรือเปล่า..
ขอบคุณที่แนะนำหนังสือดีๆให้อยากอ่านค่ะ