18/พ.ย. วันนี้ผมกับกิตติกานต์ต้องมาซ่อมเครื่องปริ๊นเตอร์กันต่อครับในช่วงเช้า ซึ่งหลังจากที่ใช้กาวติดส่วนที่แตกหักแล้ว เราก็สามารถซ่อมฝาครอบที่พังได้เป็นผลสำเร็จแล้วก็นำเครื่องไปคืนที่สำนักประชาสัมพันธ์ แต่เครื่องไม่สามารถทำงานได้จึงต้องนำกลับมาซ่อมอีกทีหนึ่ง ซึ่งซ่อมยังไงก็ยังไม่ตอบสนองเลยครับ เลยพักไปทานเข้ากันก่อน
กลับมาในช่วงบ่ายเราได้มีการเสวนาย่อยๆกันขึ้นในหัวข้อกล้องดิจิตอล คุยกับพี่ไก่ ช่างกราฟิก พี่หน่องช่างภาพ ผม กิตติกานต์ และอติกานต์ ซึ่งได้คุยกันว่ากล้องดิจิตอลมีข้อดีข้อเสียอย่างไรซึ่งความเห็นก็จะแตกต่างกันไปพี่หน่องบอกว่ามันก็ไม่ต่างกันซักเท่าไหร่อยู่ที่ผู้ใช้มากกว่าว่าจะใช้ได้เต็มประสิทธิภาพหรือเปล่า ส่วนพี่ไก่ก็บอกว่ากล้องดิจิตอลตอนนี้อาจจะยังไม่ดีกว่าแต่อีกไม่นานกล้องดิจิตอลต้องดีกว่าแน่นอน ส่วนอติกานต์ บอกว่าไม่ว่ายังไงก็ยังชินกับกล้องฟิล์มอยู่ดีถ้าเกิดใช้กล้องดิจิตอลธรรมดาถ่ายถึงแม้ความคมชัดจะดีแต่จังหวะในการถ่ายมักจะเสียอยู่เสมอ เพราะกล้องดิจิตอลธรรมดาส่วนใหญ่จะนับจังหวะถ่ายซึ่งเมื่อเรากดไปแล้วมันจะไม่ถ่ายโดยทันทีแต่จะรออีกหนึ่งหรือสองจังหวะ ซึ่งเมื่อถ่ายในเหตุการณ์ที่เร็ว มักจะได้ภาพที่ไม่ดี
คุยกันได้พักใหญ่ พี่เอกก็สั่งให้ผมไปถ่ายรูปที่ห้องน้ำเพราะพี่เอกจะเอามุมที่ได้มาทำสติ๊กเกอร์ เมื่อคนเข้าไปนั่งทำธุระเนี่ย สายตาเค้าจะอยู่ได้ในระดับกับแผ่นป้ายที่ติด โดยการเข้าไปถ่ายภาพนั้นผมได้กล้องตัวใหญ่ดดยที่พี่หน่องหยิบมาให้พร้อมทั้งแฟลตตัวใหญ่ซึ่งระยะของแฟลตตัวนี้ไกลประมาณ 5-6 เมตร เลยทีเดียว ซึ่งเมื่อเข้าไปถ่ายก็เกิดปัญหาครับ เพราะเมื่อเราใช้แฟลตในระยะใกล้ภาพที่ได้ก็จะสว่างกว่าภาพจริงและสีที่ได้ก็ขาวไปหมด ผมเลยแก้ปัญหาด้วยการเอียงแฟลตไปด้านข้าง 45 องศา แล้วถ่าย ภาพที่ได้ก็จะมีแสงจากทางด้านข้างสว่างมาก ผมเลยต้องปรับแฟลตอีกครั้งด้วยการ เอียงตั้งฉาก 90 องศากับประตู โดยหันแฟลตเข้ากับฝาด้านหนึ่ง ภาพที่ได้ออกมา ภึงแม้ด้านที่หันแฟลตเข้าจะมีแสงสว่างเกิดขึ้นมา แต่ก็ไม่โอเวอร์มาก และยังได้สีที่ไม่ผิดกับสีธรรมชาติมากนัก วันนี้ผมก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องกล้องและการใช้แฟลตเพียงเท่านี้ครับ สวัสดีครับ
ไม่มีความเห็น