ถ้าจะถามว่าคนไทยจำนวนประมาณ ๖๓ ล้านคนนี้ จะมีคนที่มีทั้งปัญญาสูงและความคิดสร้างสรรค์สูงด้วย สักกี่คน ? คำตอบ เราอาจจะพิจารณาได้จาก "โค้งปรกติ" หรือ "Normal Curve" ครับ
ในวิชาสถิติที่เด็กนักเรียนในปัจจุบันเรียนกันตั้งแต่ชั้น ม.๖ ขึ้นไป นั้น จะมีการพูดเกี่ยวกับโค้งปรกติกัน โค้งปรกติมีลักษณะคล้ายภูเขา คือตรงกลางโป่งออกมาและปลายโค้งทั้งสองข้างแฟบเข้าหาเส้นฐาน พื้นที่ภายใต้โค้งทั้งหมดรวมกันประมาณ ๑๐๐ % แบ่งพื้นที่ออกเป็นราว ๖ส่วน คือ ส่วนจากจุดศูนย์กลางไปทางขวา ๑ ส่วนจะได้พื้นที่ราว ๓๔ % ส่วนถัดไปอีกประมาณ ๑๔ % และถัดไปอีกประมาณ ๒ % รวมพื้นที่ซีกขวา ก็ ๕๐ % ทางซีกซ้ายของโค้งก็เช่นกัน โค้งนี้ได้มาโดย ทฤษฎี หรือโดยปฏิบัติ
ความประหลาดของมันก็คือ ถ้าเราเอาแบบทดสอบที่วัดความสามารถของมนุษย์ เช่น วัดปัญญา วัดความคิดสร้างสรรค์ วัดความจำ วัดความคิดเหตุผล ฯลฯ กับคนเป็นจำนวนมากๆ เช่นเป็นแสนๆคน แล้วนำคะแนนมาแจกแจง จะพบว่า การแจกแจงของคะแนนเหล่านั้นจะเป็นรูป "แบบโค้งปรกติ" เสมอ คือตรงกลางโป่ง ปลายทั้งสองแฟบ
และเราพบว่า ตรงปลายขวามือ ๒ % นั้น จะเป็นคะแนนของพวกที่มีคะแนนสูงสุด ถ้าเป็นปัญญาก็เป็นพวกปัญญาสูงสุด ถัดมาอีกราว ๑๔ % นั้น ก็เป็นพวก ปัญญาสูงและค่อนข้างสูง ถัดมาอีก ๓๔ % ก็เป็นพวกปานกลาง ถัดมาอีก ๓๔ % ทางซ้ายมืออีก ๓๔ % ก็เป็นพวกปานกลาง ถัดไปอีก ๑๔ % เป็นพวกปัญญาต่ำลงไป และอีก ๒ % จะเป็นพวกปัญญาต่ำสุด เรียกกันว่าพวกเรียนช้า
ผมนำความรู้นี้มาตอบคำถามข้างบน จะได้ว่า พวกปัญญาสูงสุด หรือความคิดสร้างสรรค์สูงสุดจะมีราว ๖๓ ล้าน x ๒ % = ประมาณ ๑ ล้านคนเศษ ! และ ๖๓ ล้าน X (๑๔ + ๒ %) = ประมาณ ๑๐ ล้านคน !!
คนเหล่านี้กระจายกันอยู่ตามระดับอายุต่างๆ ทั้งชายและหญิง ครับ
มากมายเอาการนะครับ
คนเหล่านี้แหละที่มหาวิทยาลัยทั้งหลายสามารถที่จะพัฒนาพวกเขาได้ครับ
แต่เท่าที่ปรากฏ พวกเหล่านี้หายไปไหนหมดละครับ ช่วยค้นหาที !!
ผมขอลองนำแนวคิดของ Emerson Harrington วิศวกรเมื่อศตวรรษก่อน ที่เขาใช้อธิบายปรากฎการณ์ต่าง ๆ
จำนวนคนที่สร้างสรรค์ด้วยสติปัญญา
= จำนวนคนทั้งหมด
x โอกาสที่จะเป็นคนฉลาด (ดูบันทึกข้างต้น)
x โอกาสที่จะได้เข้าสู่ระบบที่ได้แสดงความฉลาดนั้น (เช่น ผู้ชายหายไปจากระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัย)
x โอกาสที่เขาจะสนใจอยู่ในระบบ (ความน่าสนใจในด้านนี้ เทียบกับการประกอบอาชีพอย่างอื่น)
x โอกาสที่เขาจะได้แสดงฝีมือ (เลือกหัวข้อได้ดีแค่ไหน)
x โอกาสที่เขาจะไม่ถูก "ดึงเข้าหาค่าเฉลี่ย" โดยระบบ (ค่านิยม)
x โอกาสที่เขาจะใช้ในด้านบวก (สังคมหมดพลังไปกับการป้องกันคนขี้โกงมากเกินไป)
.....
ผมอาจจะยังลืมคูณไปอีกหลายตัว..
แต่มองออกแค่นี้ครับ...
(๑) คงจะเป็นตามที่ อาจารย์ขจิต ฝอยทองว่าแหละครับ
(๒) คงจะหล่นหายไปตามระยะทางตามที่ wwibul ว่าเช่นกัน ครับ ความคิดนี้น่าจะเป็นหัวข้อวิจัยที่น่าสนใจมาก ไม่รู้ว่ามีใครเคยทำไว้บ้างหรือยังครับ
ถ้าเราค้นให้พบ แล้วนำมาพัฒนาให้เป็นนัก R&D ตามที่เขาถนัด อย่างน้อยปีละ ๕๐๐๐ คน แล้วเทคโนโลยีของเราจะไปโลดทีเดียว และแน่นอน เราจะกอบโกยเงินเข้าประเทศ มั่งคั่งกันเต็มที่ ดีกว่าที่จะไปขุดของเก่ามาทำการท่องเที่ยวเหมือนที่เป็นอยู่กันเป็นไหนๆ จริงไหมครับ
ขอบคุณทั้งสองท่านครับ ที่เข้ามาเยี่ยมชมและแสดงความคิเห็นที่มีค่าอย่างยิ่ง
อาจารย์ ดร. ไสว
เข้ามาอ่าน และให้กำลังใจให้อาจารย์เขียนต่อไปเรื่อยๆ ครับ
เจริญพร
นมัสการพระคุณเจ้า
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
ดร.ไสว เลี่ยมแก้ว