(๑)
ในรอบเกือบ ๑๐ ปีที่ผ่านมา ผมเคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการต่าง ๆ ของนิสิตมาไม่น้อย แต่ “มหกรรมศิลปวัฒนธรรมคนอีสาน” เป็นโครงการหนึ่งที่ผมชื่นชอบและภาคภูมิใจมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ทั้งในฐานะที่ผมเป็น “ลูกอีสาน” มีเลือดอีสานข้นและเข้มอยู่เต็มร้อย จึงเป็นเหมือนแรงขับให้อุทิศกายใจร่วมคิด ร่วมสร้าง และร่วมทำงานกับน้องนิสิตในทุกกระบวนการอย่างไม่ลดละ
หรือหากจะเรียกว่ากิจกรรมนี้ เป็นเสมือนการตอบสนองกิเลสทางวัฒนธรรมของตนเองโดยแท้ก็ไม่ผิด !
(๒)
มหกรรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน เป็นกิจกรรมที่พรรคชาวดินริเริ่มขึ้นช่วงปลายปี ๒๕๔๐ โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากทบวงมหาวิทยาลัย จำนวน ๕๐,๕๐๐ บาทและจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม – ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ณ ลานจอดรถด้านหน้าสถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มีนายอารยันต์ แสงนิกูล อุปนายกองค์การนิสิตเป็นแม่ทัพใหญ่ พร้อมนายสมเกียรติ สรรพทรัพย์ ผู้ซึ่งชาวดินปลุกปั้นหวังจะให้ลงชิงตำแหน่งนายกองค์การนิสิตคนถัดไปเป็นขุนพลรับผิดชอบโครงการฯ
ครั้งนั้น, ไม่เพียงแต่เฉพาะพรรคชาวดินเท่านั้นที่เป็นผู้รับผิดชอบโครงการดังกล่าว แต่ยังมีการประสานใจร่วมกับอีก ๒ องค์กร คือ ชมรมนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมือง (วงแคน) และชมรมวรรณศิลป์ โดยต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือการแสดงจุดยืนของหนุ่มสาวชาวมหา’ลัยที่มีต่อการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะและวัฒนธรรมของคนอีสาน
กิจกรรมในครั้งนั้นมีหลายรูปแบบ แต่ทั้งหมดคือการสะท้อนภาพ “วิถีชีวิตคนอีสาน” ทั้งสิ้น นับตั้งแต่นิทรรศการภาพถ่ายเกี่ยวกับมหกรรมแห่งท้องทุ่ง การแสดงผลงานวิชาการของบุคลากรของมหา’ลัย นิทรรศการภาพเขียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีของนักศึกษาจากสถาบันราชภัฏมหาสารคาม การจัดแสดงวรรณกรรมสะท้อนภาพชีวิตคนอีสานไม่น้อยกว่า ๑๐๐ เรื่อง รวมถึงการประกวด “วงโปงลาง” ของนักเรียนมัธยมศึกษาจากทั่วภาคอีสาน
โดยส่วนตัวแล้ว, ผมชื่นชอบภาพถ่ายที่จัดแสดงมากเป็นพิเศษ ถึงแม้เป็นเพียงมือสมัครเล่นจากนิสิตก็ตามเถอะ แต่ทุกภาพเหมือนมีมนต์สะกดผมให้แน่นิ่ง พร้อมชักพาผมกลับไปสู่วันวัยในอดีตที่โลดแล่นอยู่ท่ามวิถีท้องไร่ท้องนาทั้ง ๓ ฤดู
ภาพของ “เถียงนา” ที่ยืนต้านลมฝน
ภาพของผู้คนที่ลงแรง ลงชีวิต ไถหว่าน ปักดำและเก็บเกี่ยว
ภาพการหาบคอนสำรับอาหารผ่านคันนา
ภาพของเพื่อนทุยผู้ซื่อสัตย์ที่นอนพักกายในห้วงของการพักงาน
และอื่น ๆ ที่ถูกนำมาจัดแสดงให้ได้ชมในรูปของภาพถ่าย ซึ่งแต่ละภาพได้สื่อความหมายในเชิงชีวิตและวัฒนธรรมของคนอีสานอย่างชัดเจนและมีชีวิตชีวา….
ผมถึงขั้นสัญญากับตนเองว่า เสร็จสิ้นภารกิจนี้แล้ว ยังไงเสียต้องหันเหชีวิตกลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้ง หลังจากที่ไม่ได้กลับบ้านมานานนับหลายเดือน และจะไม่ยอมให้งานประจำพรากตัวเราไกลห่างออกไปจากบ้านมากไปกว่านี้อีกแล้ว
อย่างไรก็ดีการจัดกิจกรรมครั้งนั้นทั้ง ๓ องค์กรได้มอบหมายภารกิจกันอย่างชัดเจน เริ่มจากพรรคชาวดินบริหารจัดการภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่เขียนโครงการ เสนอขออนุมัติ ติดต่อประสานงานและรับผิดชอบด้านพิธีการทั้งปวง ขณะที่วงแคนดูแลให้คำปรึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการประกวดวงโปงลาง พร้อมการประสานเชิญกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมาตัดสิน ส่วนชมรมวรรณศิลป์ก็ดูแลเรื่องนิทรรศการวรรณกรรม
การแบ่งภาระงานเช่นนี้ได้สะท้อนให้เห็นกระบวนทัศน์ที่สำคัญเกี่ยวกับการถ่ายโอนงานไปสู่กันและกันอย่างมีหลักการ แต่ละองค์กรถูกมอบหมายงานให้ทำตามที่ตนเองสันทัดและช่ำชอง จนช่วยให้สามารถสร้างสรรค์งานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพยายามสร้างรูปแบบเวทีของการนำเสนอภาพชีวิตคนอีสานในแง่มุมต่าง ๆ ผ่าน “สื่อ” ที่หลากหลายทั้งภาพถ่าย ภาพวาด ดนตรี วรรณกรรม ทั้งที่เป็นบทกวี เรื่องสั้น นวนิยาย ความเรียง งานวิจัย ซึ่งต่างช่วยให้กิจกรรมมีความเป็น “มหกรรม” ตรงตามที่ทีมองค์กรวาดหวังไว้ ... ที่สำคัญคือวันสุดท้ายของกิจกรรมได้กลายมาเป็นจุดเด่นและจุดแข็งที่ถูกยอมรับและชื่นชมจากมหา’ลัย ก็คือการประกวดวงโปงลางในระดับมัธยมศึกษา
ถึงแม้การประกวดวงโปงลางครั้งนั้นจะมีสถาบันเข้าร่วมเพียง ๗ สถาบันจาก ๔ จังหวัด แต่ต้องไม่ลืมว่าทีมที่มาแข่งขันประชันฝีมือล้วนเป็นระดับพระกาฬในยุคนั้นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนเมืองกาฬสินธุ์ โรงเรียนจุมจังพลังราษฎร์ ลูกหลานเมืองน้ำดำ จากจังหวัดกาฬสินธุ์ต้นกำเนิดโปงลางขนานแท้ โรงเรียนผดุงนารี จากจังหวัดมหาสารคาม โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม จังหวัดร้อยเอ็ด โรงเรียนประสาทวิทยาคาร จังหวัดสุรินทร์ โรงเรียนภูเขียว โรงเรียนบ้านหัน จากชัยภูมิ
และหนึ่งในนี้ก็คือวงโปงลางที่ไปคว้าแชมป์ประจำปีในระดับประเทศมาแล้ว...
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่านักเรียนหลายคนฉายแววความสามารถอันโดดเด่นและประสงค์จะเข้าศึกษาต่อในมหา’ลัยของเรา แต่ช่วงนั้นเป็นห้วงเวลาที่มหา’ลัยไม่มีนโยบายเปิดรับโควตาพิเศษในด้านศิลปวัฒนธรรม จะมีก็แต่เพียงโควตาพิเศษด้านกีฬาเท่านั้น
นึกแล้วยังสะท้อนใจไม่หายกับนโยบายที่หลุดหายไปจากรากเหง้าอันเป็นตัวตนที่แท้จริงของ มมส ซึ่งไม่รู้ว่า ณ วันนี้เด็กนักเรียนเหล่านั้นไปเติบโตอยู่ ณ มุมในของสังคม มีโอกาสเข้าสู่รั้วแห่งการศึกษาหรือไม่ และยังคงสืบต่อมรดกวัฒนธรรมทางดนตรีกันอยู่หรือเปล่า ?
ท้ายที่สุด “มหกรรมศิลปวัฒนธรรมคนอีสาน” ในครั้งนั้นปิดตัวลงในช่วงค่ำของวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ โรงเรียนบ้านหันคว้าถ้วยและเงินรางวัลตามความคาดหมาย บรรยากาศอบอวลด้วยความอาบอิ่มใจ ร่ำรากันด้วยมิตรภาพอันคุ้นเคย และไม่ลืมที่จะฝากคำเร้าเตือนประหนึ่งอยากให้เราได้จัดกิจกรรมนี้อีกครั้งในปีการศึกษาต่อไป
เราเองก็มิได้ลั่นวาจาเป็นสัญญาใด ๆ หากแต่ในใจอันอิ่มเอมนั้นก็ดูเหมือนจะเปรยกับตัวเองแล้วในทำนองที่ว่า อีกทางเลือกหนึ่งของกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ สถาบันแห่งนี้
(๓)
ปีการศึกษา ๒๕๔๑ พรรคชาวดินแพ้การเลือกตั้งให้แก่พรรคพลังสังคม ซึ่งผู้ลงสมัครในตำแหน่งนายกองค์การนิสิตภายใต้สังกัดพรรคชาวดินก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือ “ เจ้าแสบ” สมเกียรติ สรรพทรัพย์ ผู้รับผิดชอบโครงการมหกรรมศิลปวัฒนธรรมคนอีสานนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นพลเมืองของ มมสและรับใช้มหา’ลัยภายใต้สังกัดสำนักกิจการหอพัก
ความพ่ายแพ้ต่อการเลือกตั้งองค์การนิสิตในครั้งนั้น ไม่มีผลต่อแนวคิดการ “ต่อยอด” โครงการมหกรรมศิลปวัฒนธรรมคนอีสานที่พลพรรคชาวดินได้ทำการริเริ่มสร้างสรรค์ไว้แล้วบนถนนสายกิจกรรม
ตรงกันข้ามกลับเป็นแรงหนุนผลักให้บรรดาพลพรรคชาวดินทั้งหลายได้หลอมรวมศรัทธากลับมาพลิกฟื้นกิจกรรมนี้กันอีกครั้งอย่างจริงจัง และมุ่งมั่น
กอปรกับถือเป็นความโชคดีที่กองกิจการนิสิตยังคงจัดสรรงบสนับสนุนจากทบวงมหาวิทยาลัยให้พรรคชาวดินได้สานต่อเจตนารมณ์โครงการนี้อีกครั้ง - แต่จำไม่ได้ว่ามหกรรมศิลปวัฒนธรรมคนอีสาน ครั้งที่ ๒ จัดขึ้นเดือนไหน ? และจัดในปี ๒๕๔๒ หรือเปล่า ?
แต่ที่จำได้แน่นอนก็คือ สถานที่ถูกย้ายจากลานจอดรถหน้าสถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสานมาสู่อาคารพลศึกษา ณ ที่ตั้งขามเรียง
รูปแบบของกิจกรรมยังคงต่อยอดจากครั้งแรกแทบทุกอย่าง แต่ครั้งนี้, ได้เปิดให้องค์กรนิสิตต่างๆ มีส่วนร่วมมากขึ้นกว่าเดิม เช่น ออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง ประกวดแข่งขันประชันฝีมือ “ส้มตำปัญญาชน : คนชาวค่าย” โดยเชิญชวนชมรมชาวค่ายทั้งหลายให้ส่งแม่ครัวเบอร์หนึ่งของแต่ละชมรมมาประลองฝีมือตำส้มตำชิงเงินรางวัล เพื่อให้รู้ว่ารสชาติส้มตำของชมรมใดจะ “แซบ” ถึงใจกว่ากัน ! และผมมีโอกาสได้เดินเที่ยวชมกิจกรรมครั้งนั้นนานพอสมควร ชื่นชอบกับบรรยากาศของการแข่งขันประชันฝีมือการตำส้มตำของชมรมต่าง ๆ
ภาพของการควงสาก (ไม้ตีพริก) ของแม่ครัวตัวน้อยยังติดตรึงอยู่ในห้วงคำนึงของผมอย่างแจ่มชัด เพราะขณะที่ควงสากอยู่นั้น ส่วนผสมของเส้นมะละกอ พริก ปลาร้าและเครื่องเทศอื่น ๆ
กระเด็นกระจายไปสู่ไทมุง จนกระเจิงกันไปคนละทิศคนละทาง
...และนั่นก็คือครั้งสุดท้ายของโครงการนี้ที่เกิดขึ้นในมหา’ลัย
จากปี ๒๕๔๐ นับล่วงมาสู่วันนี้ร่วมเกือบสิบปี แต่ความทรงจำเกี่ยวกับโครงการนี้ยังแจ่มชัดในห้วงคำนึงของผม -
ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้หวนรำลึกถึงกิจกรรมดังกล่าวนี้ ชื่นชมและศรัทธาในสำนึกที่ดีของเด็กนักเรียนและหนุ่มสาวมหา’ลัยเลือดอีสานที่ยังรักและเห็นคุณค่ามรดกวัฒนธรรมของบรรพชนและภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ฉีกและแหวกออกไปจากขนบวัฒนธรรมเดิม ๆ ในถนนสายกิจกรรม แต่อดสะท้อนใจไม่ได้เมื่อเห็นวงดนตรีสตริงวัยรุ่นกระหึ่มเสียงอยู่บนเวทีอาคารพลศึกษา พร้อม ๆ กับภาพของหนุ่มสาวในชุดหลากสไตล์เต้นกรีดกรายอยู่อย่างเสรี
โลกเปลี่ยนไป, กิจกรรมดี ๆ เปลี่ยนแปลง แตกดับ และเกิดขึ้นใหม่ - ไม่รู้จบ
ขณะที่ “วงโปงลางสะออน” โด่งดัง แต่ไม่มีการประกวดวงโปงลางในนามองค์กรนิสิตของมหา’ลัยอีกแล้ว ...
และนี่คือเรื่องดี ๆ ของวันนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ใช่ๆ ยาวจริงๆเลยค่ะ คุณแผ่นดิน ทำเป็น series เลยดีกว่านะ เผื่อจะได้ใส่รูปด้วยไงคะ ^__*
กรุรูปในตู้ของกองเราไม่เหลืองานนี้เลยหรอ
อาจารย์ บุรี บูรวัฒน์ เป็นครูนาฎศิลที่หาตัวทดแทยคงไม่มี ท่านทำเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนมากมาย พาทีมงานแข่งขันที่ไหน จะไม่มีคำว่าลำดับที่ 2 พวกเราเป็นที่ 1มาตลอด ในที่สุดเราก็เป็นแช่มป์ ดนตรีพื้นเมืองระดับประเทศ ในปี2535 จาก กวางลูกศิษย์ที่รักอ. บุีรีเสมอครับ