การสร้างและพัฒนาศักยภาพวิทยากรกระบวนการ หรือ “คุณอำนวย” ที่พิจิตรนั้น ใช้วิธีหนูลองยา ลองของ(ฟังดูแล้วน่ากลัวนะครับ แต่เปล่าเลยมันเป็นของหวานที่น่าลิ้มลองชะมัด) จากการทดลองปฏิบัติจริง จากเวทีประชุมต่างๆนั้น ได้มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ ความชำนาญ มีความเคยชิน และให้เรียนรู้ตามความต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่จะเล่นบทบาทตามความถนัดมากกว่า โดยมีพี่เลี้ยงอย่างมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร เป็นคนส่งลูก รับลูกให้ แต่ถ้าบางพื้นที่ที่ช่ำชองแล้วอย่าง กลุ่มเกษตรย้อนยุคอำเภอวังทรายพูน ตั้งทีมวิทยากรกระบวนการชาวบ้าน โดยเรียกขานกันเองภายในกลุ่มกันว่า “ละครเร่” ในการไปถ่ายทอดองค์ความรู้ ซึ่งจะนำผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆที่ประสบความสำเร็จในพื้นที่ อาทิเช่นด้าน การทำนาปลอดสารพิษ การปลูกผัก การทำปุ๋ย น้ำหมักชีวภาพ การทำสวนผสม ฯลฯ มาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ซึ่งหัวหน้าละครเร่นี้คือ “ครูจำรัส มาเนียม” และมีคุณหมอ “พัด สิงห์ทอง” จากโรงพยาบาลอำเภอวังทรายพูน เป็นพี่เลี้ยงเกาะติดช่วยเหลือด้านข้อมูลวิชาการ จัดการเรื่องการเงินบัญชีให้ ซึ่งทำให้รูปแบบละครเร่ที่ว่านี้ ลงไปพื้นที่ไหนก็ประทับใจผู้เข้าร่วมรับฟัง เรียนรู้ร่วมกันทั้งนั้น เพราะลีลาการพูดคุยของแต่ละคนมีความเฉพาะตัว เป็นกันเอง สนุกสนาน โดนใจ ทำให้การเรียนรู้เข้มข้น ครบรส และเหมาะสมกับพื้นที่เวทีชาวบ้านเป็นอย่างมาก
นอกจากภาพทีมวิทยากรกระบวนการในเชิงพื้นที่อำเภอตัวอย่างนี้แล้ว ยังมีวิทยากรกระบวนการในเชิงประเด็น กล่าวคือ ตั้งแต่มีกระบวนการเรียนรู้การจัดการความรู้ หรือเรียกกันสั้นๆติดปากว่า “เคเอ็ม” (KM : Knowledge Management) ก็มีชุมชนนักปฏิบัติ 7 กลุ่มเกิดขึ้น คือ กลุ่มผักคุณกิจ ข้าวสะอาด เกษตรรวมมิตร(เกษตรผสมผสาน) สวนเล็ก(เกษตรพื้นที่ขนาดเล็ก) โรงเรียนทายาทแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง โรงสีเพื่อชุมชน และอบต.เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเกษตรกร ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มผู้ที่มีประสบการณ์ ปฏิบัติได้ผลเห็นจริงชัดแจ้งแล้ว มาร่วมกันสร้างทีมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พร้อมกันแบ่งปัน องค์ความรู้ภูมิปัญญาปฏิบัตินี้ให้กับเพื่อนเกษตรกรในแต่ละอำเภอที่สนใจด้วย ซึ่งตรงนี้เองเป็นจุดของการเรียนรู้การเป็นวิทยากรกระบวนการจากของจริง แรกๆวิทยากรมือใหม่ก็จะสั่นๆพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไร แต่พอเรียนรู้มีประสบการณ์ มีข้อมูล ได้ฝึกบ่อยๆทำให้มั่นใจมากขึ้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่โอกาสที่ได้รับ ซึ่งทางมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร จะเป็นพี่เลี้ยงคอยหยิบยื่นให้ นอกจากนี้แล้วก็มีหน่วยงานทางภาครัฐ เทียบเชิญแกนนำเกษตรกรไปเป็นวิทยากรตามประเด็นที่สนใจด้วย อย่างกรมพัฒนาชุมชนภาคเหนือ จังหวัดพิษณุโลก ก็ได้เชิญ ลุงณรงค์ แฉล้มวงศ์ ประธานชมรมเกษตรธรรมชาติฯ ไปเป็นวิทยากรส่งเสริมการเรียนรู้เกษตรพอเพียงด้วยเป็นประจำ
จะสังเกตได้ว่าวิทยากรกระบวนการ หรือ “คุณอำนวย” ของชมรมเกษตรธรรมชาติฯ นั้นมาจากการที่ได้ผ่านบททดสอบของการเป็นคุณกิจ ที่ประสบความสำเร็จมาก่อนแล้วนั่นเอง ซึ่งตรงประเด็นนี้ทางกลุ่มแกนนำ “คุณอำนวย” ต่างเห็นพ้องต้องกันว่านั่นคือ “คุณสมบัติของการจะก้าวเป็นคุณอำนวย” ได้ ดังนั้นจึงเข้าหลักการวัดขีดความสามารถของผู้นำที่ว่า “ใฝ่เรียนรู้ ทดลอง ปฏิบัติ ผลงานเด่นชัด เป็นที่ยอมรับ” คุณผดุง เครือบุษผา แกนนำกลุ่มข้าวสะอาดได้สะท้อนให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า “...ถ้าผมไม่ลงมือทดลองทำเอง ก็ไม่มีข้อมูลไปพูดกับเค้าได้...” หรือแม้แต่คุณจรัญ ติ้งฉิ่น ที่ดูรูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นคนนิ่งเงียบ พูดไม่ค่อยเก่ง แต่พอได้จับไมค์พูด กลับถ่ายทอดเนื้อหาสาระเป็นขั้นเป็นตอนได้ชัดเจนมากยังกับเป็นนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรยังไงยังงั้นเลย
ดังนั้นจึงเห็นว่าการสร้างและพัฒนาศักยภาพ “คุณอำนวย” ของแกนนำเครือข่ายเกษตรธรรมชาติจังหวัดพิจิตรนั้น มาจากกระบวนการ “วปอ.ภาคประชาชน, ศึกษา เรียนรู้ ทดลอง ลงมือทำจนเกิดผล, มีพื้นที่/โอกาสที่หยิบยื่นให้จากพี่เลี้ยง(ภาครัฐและเอกชน)” ปัจจัยที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ไม่ได้ไล่เรียงลำดับเป็นขั้นเป็นตอนแต่อย่างใด บางคนอาจจะทำการเกษตรประสบความสำเร็จมาแล้วระดับหนึ่ง เป็นคนพูดค่อนข้างเก่งอยู่แล้ว แต่พอได้มีโอกาสฝึกถ่ายทอด เรียนรู้แล้วก็ทำให้การเป็นคุณอำนวยนั้นดูง่ายมากขึ้น และยิ่งได้เข้ามาเรียนหลักสูตร วปอ.ภาคประชาชน แล้วด้วยนั้น ยิ่งทำให้มีความรู้สึกไว้วางใจ กล้าพูด กล้าแสดงออก กับเพื่อนเกษตรกรด้วยกันมากยิ่งขึ้นด้วย เป็นการเรียนรู้ที่เนียนอยู่กับเนื้องานโดยแท้ ซึ่งคุณอำนวยเหล่านี้ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังแสดงบทบาทของคุณอำนวย ดังนั้น กระบวนการพัฒนาคุณอำนวยที่พิจิตร จึงไม่ได้เป็นการกำหนดคุณสมบัติว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเหมาะสมใช้ได้ แต่ใช้การกระทำ ปฏิบัติ ทดลอง เรียนรู้ไปก่อนระยะหนึ่ง ถึงทำให้รู้ว่าคุณสมบัติของ “คุณอำนวยชาวบ้าน” นั้นควรเป็นเช่นไร?
แล้วท่านหล่ะวันนี้ได้ลองของกันแล้วหรือยัง?????
กลุ่มชาวบ้านเรียนรู้ด้วยกันแบบนี้ เป็นภาพที่หาดูได้ยากนะครับ
นวัตกรรมใดๆก็ตามที่จะมุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงวิธีคิด ควรต้องประยุกต์ให้เหมาะสมและเป็นธรรมชาติและที่สำคัญเป็นเรื่องสนุกๆที่ผ่อนคลายจะดีมากครับ