วันนี้ขอทำตัวเลียนแบบนักวิชาการปากคาบคัมภีร์สักวันนะครับ ที่ผมจะขอนำเรื่องที่ผมประทับใจ และนำมาใช้ในชีวิตของผมนานมาแล้วครับ
โดย จะขอนำขี้ปากฝรั่งที่ "เป็นสิ่งดี" มาเล่าให้ฟัง เพราะ เป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างทึ่งในกฎและหลักการข้อนี้ อย่างไม่ทราบว่ามันเกิดมาได้อย่างไร
เมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีมาแล้ว (๒๕๔๙) มีนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ Vilfredo Pareto ได้คิดค้นหลักการนี้ ตั้งชื่อว่า
"Pareto's Law"
และนำเสนอในรูปแบบของกฎ ๘๐/๒๐ “ที่สำคัญมีน้อย ที่ไม่สำคัญมีมาก”
และก็มีคนนับถือ จนได้พัฒนา และ พยายามพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จนจากคู่เดียวกลายเป็น ๒ คู่ คือ ๓/๕๐, ๑๒/๓๕ แต่ทั้ง ๒ คู่ก็ยังรวมกันได้ ๑๐๐ เช่นเดิม
ท่านคงงงว่าผมกำลังจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่ สาระสำคัญก็คือ “ที่สำคัญมีน้อย ที่ไม่สำคัญมีมาก” นั่นแหละครับ
คือ เขาเริ่มต้นจากระบบเศรษฐกิจ เข้ามาหาระบบการทำงาน ระบบการดำรงชีวิต จนแทบจะเรียกว่า ระบบจักรวาล ก็ว่าได้
เช่น เขาได้ข้อสรุปว่าระบบธนาคารนั้น จะมี
ประเด็นการทำงานในองค์กร
เมื่อมองมุมใดมุมหนึ่งของการทำงาน ก็เช่นเดียวกัน
นั่นเป็นการมองเพียงชิ้นงานเดียวเท่านั้นนะครับ
และการใช้เวลาของเราก็มีการจับคู่แบบนั้นเช่นเดียวกัน ระหว่าง
“เวลาที่ใช้” กับ “ผลงานที่ได้”
ในแต่ละเรื่อง เรียกว่าถ้าเราทำอย่างนี้ เราจะใช้เวลาไม่ค่อยเป็นประโยชน์ซะมาก ได้ประโยชน์น้อยนั่นเอง
แต่ต้องขยายความเพื่อกันการสับสนนะครับ การมองเช่นนั้น เป็นการมองเพียงมุมเดียว
ฉะนั้น การเน้นทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จึงควรจริงจังกับสิ่งที่เป็นสาระประโยชน์ (vital) ในประมาณ ๘๐% (ตามต้นคิด) หรือ ๕๐% + ๓๕% (ตามการดัดแปลงเพิ่มเติม) ที่จะใช้เวลาไม่มากจนเกินไป ประมาณ ๒๐% ของเวลา แต่ไม่ควรลงรายละเอียดมากจนเกินไป จนถึง “สิ่งที่มีสาระน้อย (trivial)” จะทำให้เราต้องมาเสียเวลามากอีกถึง ๘๐% ในการทำงาน
และเสียโอกาสที่จะทำงานด้านอื่น ให้เกิดประโยชน์ได้ดีกว่า
ลองพิจารณานำไปปรับใช้ในชีวิตมุมต่างๆของท่าน ดูนะครับ
ได้ผลอย่างไร ค่อยนำมาแลกเปลี่ยนกันครับ
นี่แหล่ะครับ เราจึงต้องมาจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่งั้น เราก็จะใช้เวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไปสนใจรายละเอียดจนลืมดูสาระสำคัญและเสียเวลากับเรื่องไม่สำคัญซะมาก เรียกว่าไปตามลมว่าอย่างงั้นเถอะ สิ่งนี้ต้องลดลงครับ ชีวิตเราจึงจะมีคุณภาพ
ขอบคุณมากครับอาจารย์ ที่ได้กรุณานำสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์มาบอกกล่าวเล่าแจ้ง และเป็นประโยชน์กับผมมากทีเดียว
ด้วยความเคารพ
อุทัย อันพิมพ์
พรหมลิขิตพุดถูกเลยค่ะ อะไรที่เราทำมันด้วยใจทำโดยที่เราไม่ได้เจตนา มันมักจะส่งผลให้งานของเราออกมาตามดีเกินคาดเกินกว่างานที่เราถูกบังคับ หรือจิตใจบังคับให้ทำ เหมือนอย่างเขาว่าใจรักงานใดงานนั้นที่ทำมักรุ่ง
อยากบอกเลยว่าอย่บังคับใจตัวเองแล้วงานที่ออกมาจะทำให้คุณผิดหวังและโทดตัวเองมากขึ้น มันไม่ดีกับตัวคุณเลย