ในมุมมองของผม หน่วยงานภาครัฐมี ๓ ส่วน คือส่วนการเมือง ส่วนระบบราชการ กับส่วนกึ่งราชการ หน่วยงานกลุ่มหลังสุดกำเนิดโดยการริเริ่มของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน ในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ และผมมีโอกาสทำงานริเริ่มหน่วยงานหนึ่ง คือ สกว. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) ที่กำเนิดขึ้นโดย พระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ. ๒๕๓๕
เป็นการริเริ่มใหม่ของบ้านเมืองที่ส่งผลเปลี่ยนวิถีชีวิตผมไปโดยไม่รู้ตัว คือได้โอกาสบริหารหน่วยงานในลักษณะที่ท่านอดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อภิลาศ โอสถานนท์ บอกว่า เป็นเจตนาให้มีการบริหารแบบ strong executive คือให้ริเริ่มงานสนับสนุนการวิจัยได้ หากไม่มีข้อห้ามไว้ใน พรบ. กองทุนสนับสนุนการวิจัย หากไม่แน่ใจว่าการริเริ่มนั้นจะสุดกู่เกินไป ก็ให้ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย
ถูกจริตผมเป็นอย่างยิ่ง นำสู่การร่วมกันสร้างระบบสนับสนุนการวิจัย ที่เวลาผ่านมา ๓๐ ปี เป็นที่ยกย่องว่า เป็นระบบสนับสนุนการวิจัยที่สร้างความเข้มแข็งต่อวงการวิจัยอย่างไม่เคยมีมาก่อน และไม่มีในปัจจุบัน เพราะมีการยุบ สกว. เปลี่ยนหน้าที่เป็น สกสว.
ผมมีโอกาสเฝ้ามองระบบหน่วยงานภาครัฐกึ่งราชการ ที่พร้อมๆ กับการก่อตั้ง สกว., สวทช., และ สวรส. ก็มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ คือ มทส., และ มวล. โดยการริเริ่มของ ศ. ดร. วิจิตร ศรีสะอ้าน ในช่วงเวลาเดียวกัน ที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องนิดๆหน่อยๆ พอได้เรียนรู้ และเกี่ยวข้องมากขึ้นที่ มทส. ในฐานะโดนจับตัวเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย
ข้อสรุปการตีความภาพรวมของผม ในช่วงกว่า ๓๐ ปี ตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ เป็นต้นมา ของหน่วยงานภาครัฐกึ่งราชการ คือ เป้าหมายของรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ถูกระบบราชการเข้าครอบงำ อย่างโงหัวไม่ขึ้น ระบบการบริหารหน่วยงานแบบ strong executive หมดไปโดยสิ้นเชิง แทนที่โดย strong regulation ภายใต้กระบวนทัศน์ “ไม่เชื่อใจ” ว่าผู้บิหารองค์กรจะซื่อสัตย์ และเห็นแก่ส่วนรวมอย่างแท้จริง จึงต้องใช้กลไกของ “คณะกรรมการ” เข้ามากำกับ
ส่งผลให้ การตัดสินใจอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ซึ่งหมายความว่า ไม่มีใครรับผิดรับชอบ (accountable) และมีคนเข้ามาแสวงประโยชน์ได้ โดยอาจแบ่งปันผลประโยชน์กับฝ่ายการเมือง ที่ในทางกฎหมาย มีอำนาจตั้งประธาน และคณะกรรมการ ผ่านการวิ่งเต้น และการมี “ความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์”
ผมไม่รับรองว่า ข้อตีความของผม เป็นการตีความที่ถูกต้อง หรือผิดพลาดโดยสิ้นเชิง
แต่ผมก็มีข้อมูลหลักฐานจากการพูดคุยตรวจสอบความคิดลึกๆ กับผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ที่เป็นผู้ยึดมั่นในคุณธรรม ว่าเราเห็นการแต่งตั้งประธานกรรมการ และคณะกรรมการ ที่เราอ่านไต๋ว่า เป็นกลไก เข้าไปคุมหน่วยงานกึ่งราชการ ที่มีบทบาทดูแลเงินจำนวนมาก ให้ทำงานสนองเป้าหมายระยะสั้นของฝ่ายการเมือง ที่ไม่ใช่เป้าหมายระยะยาวของประเทศ หรือสังคมไทย
มองจากมุมผลประโยชน์ของบ้านเมือง ผมมองว่าในปัจจุบัน ระบบงานภาครัฐ ส่วนที่เป็นหน่วยงานกึ่งราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลเงินจำนวนมาก ตกอยู่ใต้ความเสี่ยงที่จะถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคล และส่วนกลุ่มผลประโยชน์ มากกว่าเพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง
มีผลให้ หน่วยงานที่มีเป้าหมายทำหน้าที่ขับเคลื่อนแนวทางการทำงานในกระบวนทัศน์ใหม่ สร้างแนวทางใหม่ๆ ให้แก่บ้านเมือง ไม่สามารถทำงานตามเป้าหมายดังกล่าวได้อย่างแท้จริง ทำได้เพียงตามกระบวนทัศน์ราชการ คือทำตามแนวทางเดิมๆ ที่กำหนดโดยระบบ bureaucracy หรือตามรูปแบบเดิมๆ ไม่ไช่ทำงานสร้างสรรค์ ในรูปแบบที่มีการสร้างสรรค์ใหม่ ที่ก่อผลกระทบต่อสังคมอย่างคุ้มค่ามากกว่าเดิม
และที่ร้ายมาก คือ เป็นการทำงานเพื่อสนองอำนาจและผลประโยชน์ของบางคน หรือบางกลุ่ม ไม่ใช่ผลประโยชน์ของบ้านเมืองอย่างแท้จริง
ไม่ยืนยันว่า ข้อเขียนนี้ สะท้อนความเขลาของผม หรือสะท้อนการมองเห็นมิติเชิงลึกในระบบกิจการสาธารณะไทย
วิจารณ์ พานิช
๑๔ มี.ค. ๖๘