HITAP จัดการนำเสนอผลงานวิจัยเรื่อง Uneven Development : How Distributing, Taxing and Coercing Shape State Capacity โดย รศ. ดร. Illan Nam, นักวิจัยด้านรัฐศาสตร์จาก Colgate University ที่รู้จักเมืองไทยดีมาก รู้จักนักวิจัยไทยด้านสุขภาพจำนวนมาก จัดการนำเสนอที่ บ่ายวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๘ ผมขอลิ้งค์วิดีทัศน์มาฟังภายหลัง ใช้เวลาเกือบ ๒ ชั่วโมง อย่างสนุกและได้ความรู้มาก ได้มุมมองของนักรัฐศาสตร์ ชมได้ที่ (๑)
ผมสนใจที่เขาเปรียบเทียบระบบรัฐ ๒ ระบบของไทย ที่แตกต่างกันอย่างอยู่คนละขั้ว คือระบบสาธารณสุข กับระบบการศึกษา
โดยวิทยากรเสนอข้อเปรียบเทียบ ๓ ด้านคือ
- ระบบบังคับให้ไปทำงานในชนบท ระบบสาธารณสุขมี ระบบการศึกษาไม่มี
- โอกาสก้าวหน้าเมื่อไปทำงานในชนบท ระบบสาธารณสุขมี ระบบการศึกษาไม่มี ที่เขาเรียกว่าเป็น death end
- การรับข้อเสนอแนะจากผู้ทำงานในชนบท ระบบสาธารณสุขมีกลไกรับ ระบบการศึกษาไม่มี ผมเติมให้ในวงเล็บว่า ระบบการศึกษาเน้นให้ส่วนภูมิภาคและชนบททำตามคำสั่งแล้วส่งรายงาน
จากข้อสังเกตทั้งสาม และการนำเสนอตามในลิ้งค์ (๑) นำสู่การเสวนาที่ประเทืองปัญญายิ่ง
ที่จริงข้อสังเกตทั้ง ๓ ข้อข้างบน นำสู่ข้อมูลเพิ่มเติม และบริบทที่ต่าง ระหว่างระบบการศึกษากับระบบสาธารณสุข ที่นำมาตีความทำความเข้าใจเหตุผลลึกๆ ที่ทำให้สองระบบนี้ของไทยมีคุณภาพต่างกันสุดขั้ว นำมาถกเถียงกันได้มากมาย
จุดที่กระตุกใจผม และผมไม่เคยคิดมาก่อนคือ เป้าหมายของจุดเริ่มต้นในการพัฒนาระบบทั้งสอง สมัย ร. ๕ ต่อด้วย ร. ๖ ระบบการศึกษาจัดขึ้นสำหรับเป็นเครื่องมือของส่วนกลางของประเทศในการควบคุมส่วนภูมิภาคและชนบท หรือควบคุมประชาชน (ที่เขาใช้คำว่า เพื่อ social control) ไม่ใช่เน้นเพื่อคุณภาพคน แต่ระบบสุขภาพมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาสุขภาพของคน เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจมาก ที่นักรัฐศาสตร์มองเห็น แต่ผมไม่เห็นหรือไม่ตระหนัก จริงหรือไม่จริงถกเถียงกันได้
แต่เมื่อได้ฟังเหตุผลนี้ ผมก็หวนคิดว่า สมัยนั้นชนชั้นปกครองเรียกประชาชนว่า “ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน” และคิดต่อว่าสมัยนี้นักการเมืองมองระบบการศึกษาว่าเป็นช่องทางควบคุมเสียงเลือกตั้ง
อีกคำหนึ่งที่ รศ. ดร. อิลลาน เอ่ยถึงคือ social contract (สัญญาทางสังคม หรือสัญญาประชาคม) ของประชาชน ของคนไทยต่ำ อธิบายว่าเพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เสียภาษีทางตรงคือภาษีเงินได้ คุณหมอยศให้ข้อมูลว่า คนไทยเพียง ๔ ล้านคนเท่านั้นที่เสียภาษีเงินได้ แถมยังบอกว่าระบบเศรษฐกิจไทยไม่ได้มี ๒ ระบบ คือเศรษฐกิจในระบบ กับเศรษฐกิจนอกระบบ (ที่ไม่เสียภาษี) ยังมีระบบที่ ๓ คือ เศรษฐกิจใต้โต๊ะ ยิ่งทำให้คนไทยไม่มีสัญญาประชาคม
ผมมีข้อสงสัยว่า หากแนวคิด “ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน” และ “จงรักภักดีต่อผู้มีอำนาจ” ดำรงอยู่ในประชาชนไทยกลุ่มด้อยโอกาส ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ จะส่งผลค่อสภาพสัญญาประชาคมในกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างไร
วิจารณ์ พานิช
๗ มี.ค. ๖๘