GotoKnow

ข้อคิดเห็นเชิงวิพากษ์ต่อวิธีการนำเสนอ-ฝึกปฏิบัติ-ผลิตภาษา (PPP): การท้าทาย และคำสัญญากับการสอนภาษาอังกฤษในฐานะวิชาภาษาต่างประเทศ

ต้นโมกข์
เขียนเมื่อ 26 มกราคม 2025 12:19 น. ()

บทคัดย่อ

การสอนภาษาอังกฤษมีขึ้นมีลงจนกระทั่งมีการเสนอตัวของการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร และการสอนภาษาอังกฤษโดยภาระงานขึ้น ความพยายามส่วนใหญ่กระทำโดยนักวิจัยและผู้สอนภาษาโดยการหาการปฏิบัติการสอนที่มีประสิทธิภาพที่สุด มุ่งหมายไปที่การเพิ่มการผลิตภาษา และส่งผลต่อจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่เป็นไปในทางบวก ในขณะเดียวกัน ระหว่างช่วง 1950 มีวิธีการหนึ่งเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ ที่มีรากอยู่ที่การสอนแบบพฤติกรรมนิยม รู้จักในนาม PPP ซึ่งในไม่ช้ากลับเป็นที่มีชื่อเสียงในการสอนภาษาอังกฤษ และถูกใช้ในโรงเรียนต่างๆทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เนื่องมาจากวิธีการนี้ไม่ได้สนใจเรื่องการสื่อสารในฐานะที่เป็นจุดประสงค์หลักในการเรียนภาษา ต่อมาวิธีการนี้จึงถูกวิพากษ์ และถูกโจมตีอย่างหนักจากนักวิชาการตั้งแต่ยุค 1990 เป็นต้นมา รายงานฉบับนี้จึงต้องการจะนำเสนอการมองเชิงวิพากษ์ในหลาย ๆ แง่มุม อันดับแรก ต้องการที่จะนำเสนอรายละเอียดของ PPP ก่อนว่าคืออะไร อันดับสองจะให้การท้าทายและการวิจารณ์กับวิธีการนี้จากนักวิชาการ อันดับสุดท้าย ต้องจะบอกข้อดีในการใช้ PPP ว่าเป็นเทคนิคการสอนมากกว่าเป็นวิธีการ (approach) และยังมีนัยยะอื่น ๆ สำหรับครูผู้สอนภาษา และผู้เรียนด้วย

1. บทนำ

ก่อนยุค 1990 วิธีการ PPP ที่มีต่อการสอนภาษาอังกฤษจะมีการอ้างอิงถึงจากนักวิชาการหลาย ๆ คน เหมือนกับเป็นวิธีการสมัยใหม่ที่พบเห็นได้มากที่สุด ที่นำมาใช้จากโรงเรียนต่าง ๆ รอบโลก งตามที่ Harmer ได้กล่าวไว้ PPP ดัดแปลงมาจากการสอนฟังพูด (Audiolingualism) ซึ่งเป็นการสอนในประเทศอังกฤษ และ PPP ย่อมาจาก การนำเสนอ-การฝึกปฏิบัติ-และการผลิตภาษา วิธีนการนี้มาจากข้ออ้างทนน่ว่าความรู้จะกลายเป็นทักษะ ผ่าการฝตึกหัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และภาษาจะถูกเรียนรู้ผ่านคำหรือวลีเล็กๆ และนำไปสู่องค์รวมในภายหลัง วิธีการนี้มองความถูกต้องมาก่อนความคล่องแคล่ว ดังที่ Harmer ยืนยันว่ามีการแนะนำ PPP ต่อครูผู้สอนใหม่ ว่าเป็นกระบวนการสอนที่มีประสิทธิภาพตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา

PPP จะมีองค์ประกอบอยู่ 3 ส่วน นั่นคือ การนำเสนอ (Presentation) การฝึกหัด (Practice) และการผลิตภาษา (Production) โดยมีรากฐานมาจากทฤษฎีพฤติกรรมนิยม ซึ่งกล่าวว่า การเรียนรู้ภาษาก็เหมือนกับการเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ เมื่อครูควบคุมตอนแรกได้มาก และต่อมาก็ยิ่งคุมชั้นน้อยลง จึงทำให้ผู้เรียนยิ่งออกจากครู เพราะสามารถผลิตภาษา และมีความเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น

PPP ยังใช้วิธีการแบบนิรนัย โดยเฉพาะยิ่งไวยากรณ์ ซึ่งจะถูกนำเสนอในขั้นการนำเสนอ ภาษาที่ต้องการ (target language) จะถูกเลือกจากครูจากหลักสูตรทางภาษา นักเรียนจะใช้สื่อต่างๆ เพื่อเน้นไปที่ภาษาที่ต้องการนำเสนอ และไม่ยุ่งกับภาษาที่ต้องการอื่นๆเลย สิ่งนี้ทำให้ผู้เรียนมีสมาธิที่ภาษาที่ต้องการนำเสนอเท่านั้น

ตามที่ Richards และ Renandya ได้กล่าวไว้ วิธีการสอนภาษาอังกฤษแต่เดิมบจะเน้นไปที่ไวยากรณ์ และวัฎจักรของกิจกรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำเสนอภาษาใหม่, การฝตึกหัดสิ่งนี้แบบควบคุม,  และการผลิตภาษา ซึ่งผู้เรียนพยายามภาษาที่เรียนในลักษณะการสื่อสาร สิ่งนี้ถูกเรียกว่าวิธีการแบบ PPP และมันเป็นวิธีนการสอนแบบโบราณเหมือนๆกับการสอนภาษาเพื่อฟังพูด และวิธีการโครงสร้าง-สถานการณ์ (Structural- Situational approach) นั่นเอง

ดังที่ Willis และ Willis ซึ่ง Richards และ Rodgers ได้อ้างอิงถึง กล่าวว่า แผนการสอนแบบ PPP จะมีอยู่ 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. ขั้นนำเสนอ (Presentation): ครูเริ่มต้นบทเรียนโดยสร้างสถานการณ์ขึ้นมา ซึ่งอาจล้วงออกมา หรือโมเดลภาษาซึ่งสถถานการณ์ จำเป็นต้องใช้ การนำเสนอจะประกอบไปด้วยโมเดลประโยค, บทสนทนาสั้น ๆ ซึ่งนำเสนอภาษาที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านจากหนังสือ, หรือได้ยินจากเทป หรือแสดงออกโดยครูก็ตาม

2. ขั้นฝึกฝน (Practice) : นักเรียนจะฝึกหัดภาษาที่ต้องการแบบครูควบคุม พวกเขาจะฝึกประโยคหรือบทสนทนา โดยการออกเสียงตมครูหรือเทป อาจทั้งหมดหรือเป็นรายบุคลก็ตาม จนกระทั่ง พวกนักเรียนสามารถกล่าวประโยคพวกนั้นได้อย่างถูกต้อง หรือกิจกรรมการฝึกปฏิบัติ เช่นจับคู่ส่วนต่าง ๆ ของประโยค, เติมประโยค หรือบทสนทนา และถามหรือตอบคำถามโดยใช้ภาษาที่ต้องการ

3. ขั้นผลิตภาษา (Production): นักเรียนถูกกระตุ้นให้ใช้ภาษาใหม่แบบอิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะโดยตนเองหรือในบริบทที่ครูสร้างขึ้นก็ตาม มันอาจเป็นบทบาทสมมติ, กิจกรรมคล้ายของจริง, หรือภาระงานการสื่อสารก็ได้

Byrne เสนอว่าขั้นตอนอาจไม่ยึดเป็น 3 ขั้นแบบนี้ก็ได้ ซึ่งขึ้นกับระดับของผู้เรียน, ความต้องการของนักเรียน, และสื่อการสอนที่ครูใช้บางครั้งอาจเริ่มต้นที่การผลิตภาษา ไปสู่การนำเสนอ และปิดท้ายด้วยการฝึกปฏิบัติเลยก็ได้

สำหรับ Thornbury กล่าวว่า PPP มีตรรกะซึ่งเป็นที่ดึงดูดใจของครุและผู้เรียน เพราะว่ามันเสนอว่า การฝึกทำให้เกิดความสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งก็เหมือนกับหลาย ๆ ทักษะ มันทำให้ครูควบคุมเนื้อหาและก้าวย่างของบทเรียน และ Skehan ยังเน้นย้ำว่า มันนำเสนอบทบาทที่แจ่มชัดให้กับครู ซึ่งมีนัยยะถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่พบบ่อยในชั้นเรียน

หลังนากทำความคุ้นเคยกับลักษณะเด่น ๆ และการปฏิบัติของวิธีการนี้แล้ว ในตอนต่อไปจะนำเสนอข้อวิจารณ์ ซึ่งตำรามีอยู่ โดยนักวิชาการต่าง ๆ ในตอนสุดท้ายจะนำเสนอข้อดีของ PPP และนำเสนอเทคนิคการสอนที่ครูผู้สอนภาษาใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ สถานการณ์ 

2. ปัญหาของ PPP

ถึงแม้ว่าการสอนแบบ PPP จะประสบความมีชื่อเสียงตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา แต่มันก็ถูกวิจารณ์จากวงวิชาการเป็นจำนวนมาก ข้างล่างเป็นปัญหาหลักที่เกิดจากวงวิชาการนั้น

Ellis พูดถึง PPP ว่ามองภาษาเหมือนกับผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถสะสมได้เป็นชิ้นๆ อลย่างไรก็ตาม งานวิจัยทางการรับภาษาที่สอง (second language acquisition research) เสนอว่า ผู้เรียนไม่ได้รับภาษาแบบนั้น จริง ๆ แล้ว พวกเขาสร้างระบบความรู้ขึ้นมาเป็นลำดับขั้นที่เรียกกันว่า interlanguage คำนี้หมายถึงเมื่อผู้เรียนรับภาษาใหม่เข้าไปจะสะสมโครงสร้างใหม่ และไวยากรณ์ใหม่ ๆ พร้อม ๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้นงานวิจัยในเรื่องลำดับขั้นทางพัฒนาการ (development sequence) แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนนจะเข้าถึงขั้นตอนที่แตกหัก (transitional stages) ในการได้รับลักษณะทางไวยากรณ์เฉพาะ เช่น การปฏิเสธ จะใช้เวลาหลาย ๆเดือน หรือหลายปี ก่อนที่พวกเขาจะเข้าถึงภาษาตามกฎไวยากรณ์เสียอีก โดยสรุปก็คือ การรับภาษาที่ 2 (L2 acquisition)เป็นกระบวนการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอ และการฝึกปฏิบัติของภาษานั้น ๆ เลย

PPP ยังขาดพื้นฐานที่มั่นคงในทฤษฎีการรับภาษาที่สอง (second language acquisition research) เพราะมันเป็นส้นตรง และมีลักษณะพฤติกรรมนิยมมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถอธิบายขั้นตอนความพร้อมในทางพัฒนาการของผู้เรียน และก็ไม่สามารถนำผู้เรียนไปสู่การรรับภาษาที่สองได้ด้วยการสอนอย่างแน่นอน

Richards และ Rodgers ยังเสนอว่า การปฏิบัติก็ยังมีปัญหา เห็นได้ชัดเจนว่า ขั้นผลิตภาษาต้องการให้ใช้การะงานทางการสื่อสาร นั่นคือ ภาระงานที่ต้องใช้ไวยากรณ์ที่เรียนในชั้นเรียน อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายที่จะออกแบบภาระงานที่ช่วยให้เด็กได้ใช้ไวยากรณ์ เพราะเด็กจะถอยหลังลับไปขั้นปฏิบัติทุกครั้งไป

ขั้นตอนการปฏิบัติก็ถูกวิจารณ์ในแง่การผลิตภาษา การสรุปจากข้อวิจารณ์หลาย ๆ ชิ้นก็คือ มันใช้เวลามาก,  การอยู่ภายใต้การควบคุมของครู และต้องอย่างนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง, ความไม่ยืดหยุ่น และการขาดความสามารถในการปรับตามสถานการณ์ในชั้นเรียนที่เปลี่ยนไป สุดท้ายคือไม่ใช้กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน Willis ยังเน้นว่า มันคือคววามสอดคล้อง ไม่ใช่การสื่อสารเขายังเสริมอีกว่าการสอนไวยากรณ์เหมือนวัตถุที่เป็นรูปธรรม ด้วยกฎไวยากรณ์จะทำให้ผู้เรียนเกิดความสับสน เวลาไปเจอประโยคที่ใช้ในชีวิตจริง เพราะไม่สอดคล้องกับไวยากรณ์ ที่เรียนมา

Skehan ชี้ว่าลำดับขั้นดังกล่าวไม่สะท้อนหลักการของการรับภาษาที่ 2 เลย: 

ทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังวิธีการแบบ PPP  ตอนนี้ถูกลดความน่าเชื่อถือลงมาก ความเชื่อที่ว่าการเน้นไปที่จุดใจจุดหนึ่งในภาษาจะนำไปสู่การเรียนรู้ และการใช้อย่างเป็นธรรมชาติ วิธีการแบบ PPP สูญเสียความน่าเชื่อถือในภาษาศาสตร์และจิตวิทยา

หากกล่าวในอีกง่มุมหนึ่ง Skehan ยันยันว่า กระบวนการเรียนรู้ทางภาษาไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเส้นตรงอย่างที่ PPP นิยมใช้ จริง ๆ แล้ว มันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนที่มีอยู่หลากหน้า ซึ่งบรรดาปัจจัยทั้งหลายส่งผลต่อคุณลักษณะทางจิตพิสัยและพุทธพิสัยต่างหาก

มันสามารถสรุปได้ว่า วิธีการสอนแบบนี้ นักเรียนจะเรียนรู้เป็นเส้นตรง นั่นคือ จากไม่มีความรู้ ไปสู่การควบคุมความรู้ สุดท้ายจะใช้ภาษาได้อย่างอิสระ อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ขอองมนุษย์ไม่ได้เป็นแบบนั้น มันมีภาวะของการสุ่ม ซับซ้อนยิ่ง และเต็มไปด้วยตัวแปรและระบบที่เชื่อมต่อกัน

Lewis เสนอว่า PPP ยังไม่เพียงพอ เพราะมันไม่สะท้อนแค่ธรรมชาติของภาษา และไม่สะท้อนธรรมชาติของการเรียนรู้ด้วย ข้อวิจารณ์นี้มีเหตุผลเพราะผู้เรียนต้องกระทำแต่การเลียนแบบในภาวะของการควบคุม โดยปราศจากการรับรู้ถึงความซับซ้อนของภาษา และกระบวนการเรียนรู้ รวมทั้งการสอนอีกด้วย Scrivener เคยกล่าวว่า มันไร้ซึ่งอิสรภาพ และไม่ดึงดูดใจ 

เหมือนอย่างที่บอกไป การฝึกหัดเป็นหลักการสำคัญซึ่งต่อมาจากการนำเสนอ อย่างไรก็ตาม หากอ้างองถึง Lightbown แล้ว การวิจัยการในการับภาษาที่สองได้แสดงว่าการฝึกปฏิบัติไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความสำเร็จเสมอไป การวิจารณ์ข้อนี้ดูเหมือนมีเหตุผลเพราะว่าการให้นักเรียนแค่ฝึกปฏิบัติแต่เพียงโครงสร้างภาษา นักเรียนคนนั้นอาจยังไม่ได้เรียนรู้ และซึมซับโครงสร้างภาษานั้นมาก็ได้ จริง ๆ แล้ว หากนักเรียนได้รับการสะท้อนกลับจากครูเพื่อหาสาเหตุและฝึกปฏิบัติมากขึ้น และการบ่งชี้พละกำลังเพื่อที่จะสร้างการปฏิบัติต่อไปให้ดีขึ้นต่างหาก

ดังที่ Wong และ Van Patten ได้ชี้ปัญหาไว้ วิธีการแบบ PPP ทำให้เด็กไม่สนใจเรื่องบริบท และการฝึกหัดที่ไม่มีความหมาย นั่นคือ โครงสร้างทางไวยากรณ์ในวลีหรือคำสั้นๆ จะนำเสนอให้กับผู้เรียนในฐานะเป็นแบบ และผู้เรียนต้องผลิตโครงสร้างภาษาผ่านการปฏิบัติและการกระทำซ้ำๆ

สุดท้าย ตามที่ Harmer วิธีการแบบ PPP ยึดครูเป็นศูนย์กลาง และเข้ากันไม่ได้กับโครงสร้างของการยึดผู้เรียนเป็นสำคัญที่เป็นมนุษย์มากกว่า การเรียนรู้วิธีการเรียนรู้สำคัญมากกว่าสิ่งที่เรียนรู้ Brown ได้ชี้เห็นว่า ในวิธีการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้น ครูทำหน้าที่เหมือนผู้อำนวยความสะดวก จะต้องนำเสนอบริบทเพื่อผู้เรียนได้สร้างความหมายโดยการปะทะสังสรรค์กับคนอื่น เห็นได้ชัดเจนว่าวิธีการนี้ย่อมแตกต่างวิธีนการสอนแบบ PPP เพราะครูเป็นผู้ทรงอำนาจ และเป็นแบบ ในขณะที่ผู้เรียนเป็นเพียงผู้รับแบบเฉื่อยชา และเป็นผู้ปฏิบัติของแผนที่วางไว้ก่อนแล้ว 

อันเนื่องมาจากข้อวิจารณ์ และปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น Richards และ Renandya เสนอว่า วิธีการนี้จึงถูกเปลี่ยนในทศวรรษ 1980 โดยการสอนซึ่งเน้นไปที่การสื่อสาร (มากกว่าแค่ไวยากรณ์) 

3. บทสรุป 

 อย่างที่เราได้อภิปรายในรายงานฉบับนี้ วิธีการสอบแบบ PPP มีชื่อเสียงในยุคทศวรรษ 1950 และ 1960 เพราะเป็นวิธีการสอนแบบไวยากรณ์-การแปล (grammar-translation), การฟังการพูด (audiolingual), และการสอนตามสถานการณ์ (situational) หลักการเบื้องหลังวิธีการนี้ก็คือทำให้ผู้เรียนภาษาสามารถผลิตวลีหรือคำพูดตามหลักไวยากรณ์ โดยการผ่านการฝึกปฏิบัติที่เป็นการท่องโครงสร้างแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ด้วยวิธีการสื่อสารที่เริ่มชัดเจนขึ้นในวิธีการสอน ทำให้วิธนีการสอนแบบ PPP เกิดมีข้อวิจารณ์ และปัญหาขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีข้อวิจารณ์ และวิธีการสอนแบบ PPP ก็ยังมีข้อได้เปรียบอยู่ในบางสถานการณ์ Richards และ Rodgers กล่าวถึงข้อได้เปรียบกับวิธีการสอนแบบ PPP ไว้ว่ามันเหมาะสำหรับครูผู้สอนในระยะเริ่มต้น เพราะจะสอนอะไร และอย่างไร ล้วนมีให้พวกเขาแบบเสร็จสรรพ 

 แปลและเรียบเรียงจาก

Parviz Maftoon และ Saeid Najaft Sarem. A Critical Look at the Presentation-Practice-Production (PPP) Approach: Challenges and Promises for ELT

สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย