ที่จริงหัวข้อนี้ ก็เป็นเรื่องมายา ตามในบันทึกที่แล้ว แต่ผมแยกออกมาเขียนต่างหาก เพราะคิดว่ามันเป็นมายาที่ซ่อนอยู่ลึกมาก
ผมเข้าไปเกี่ยวข้องเรียนรู้อยู่กับระบบการศึกษา ที่มีธรรมชาติรวมศูนย์ (centralized) มาก อยู่ลึกในระดับเป็นวัฒนธรรมและกระบวนทัศน์ ที่เมื่อมีกิจกรรมเชิงนวัตกรรมหรือการริเริ่มสร้างสรรค์ใหม่ๆ ก็มักติดรูปแบบรวมศูนย์ บางเรื่องแยกออกมาจากร่มกระทรวงศึกษาธิการ แต่ก็ออกมารวมศูนย์ที่ศูนย์ใหม่ เมื่อผมเสนอแนะให้กระจายโอกาสสร้างสรรค์ไปให้กลไกในจังหวัด ก็เห็นได้ชัดว่า ข้อเสนอของผมไม่ทะลุกำแพงความคิดรวมศูนย์
ไม่ทราบว่าผมคิดถูกหรือผิด ว่าเป็นธรรมชาติมนุษย์ ที่จะคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องใกล้ตัว เพื่อสร้างผลงานของตน สู่ความเจริญก้าวหน้าของตน หรือหากตนมีโอกาสเป็นหัวหน้าหรือผู้บริหารองค์กร ก็จะคิดดำเนินการอยู่กับผลงานของหน่วยงาน เพื่อการยอมรับของสังคมต่อหน่วยงาน นี่คือธรรมดามนุษย์
แต่ผมคิดว่า จะยิ่งดีกว่า หากเราคิดออกไปนอกกรอบตัวตนของตนเอง ออกไปเห็นความเชื่อมโยงภาพใหญ่ ให้เห็นว่าตัวเราหรือหน่วยงานที่เรารับผิดชอบเป็นส่วนหนึ่งของระบบใหญ่ ที่เรียกว่า เป็น part of the whole อย่างไร นี่คือการฝึก systems thinking ที่จะยิ่งช่วยให้ตัวเราหรือหน่วยงานของเรา มีผลกระทบสูง เพราะเราจะสามารถดำเนินการให้เกิดการเสริมพลัง ทำให้เกิดผลเพิ่มขึ้นในภาพรวม และผลงานของเราก็สูงขึ้นด้วย
ที่ยิ่งกว่านั้น คือ ผลงานดีขึ้นในแนวของการยกระดับความแปลกใหม่หรือเป็นนวัตกรรม ที่มีค่าสูงกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมากมาย
การทำงานแบบคิดใหญ่ มองภาพใหญ่เป็น และสร้างความร่วมมือเพื่อภาพใหญ่ หนุนผลงานของหน่วยอื่นด้วย ในลักษณะ give and take จะยิ่งสร้างชื่อเสียงเกียรติยศและผลงานความสำเร็จในชีวิตตน เป็นผลงานในลักษณะที่เกิดจากการให้ การเสียสละ การเห็นแก่ผู้อื่นหรือหน่วยอื่น เป็นการหลุดพ้นจากมายาของความคิดคับแคบ สู่แสงสว่างของความเอื้ออารี ที่ขอนำมาเสนอไว้ เพื่อชีวิตที่ดีของทุกคน
มองอีกมุมหนึ่ง นี่คือแนวทางของการดำรงชีวิตแบบที่กิเลสเบาบาง มีความสุขทั้งจากจิตใจเอื้อเฟื้อ และจากความเจริญก้าวหน้าในสังคม
ผมสะท้อนคิดต่อว่า สภาพที่เราอยากเห็นดังข้างบนสร้างได้ โดยการศึกษาและการเลี้ยงดูเด็ก ที่หนุนให้เด็กสร้างจรณทักษะ (soft skills) รวมทั้งทักษะทางสังคมอารมณ์ ใส่ตัว หรือที่เรียกว่า ค่านิยมศึกษา
วิจารณ์ พานิช
๕ ธ.ค. ๖๗
ไม่มีความเห็น