สรุปสารคดี พยานที่หายไป: Missing Witness: Unsolved Mysteries (Netflix) Season 1 EP6
การหายตัวไปอย่างลึกลับของ ลีน่า ชาปิน พยานคนสำคัญที่อ้างว่าแม่ของเธอเป็นคนฆาตกรรมพ่อเลี้ยงคนใหม่ของเธอเอง
#เกริ่นนำ
สารคดี Unsolved Mysteries ซีรีส์ที่เต็มไปด้วยปริศนาและคดีที่ยังไม่คลี่คลาย ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของคนหายและเหตุการณ์ลึกลับมากมาย ในตอนที่ 6 ของซีซั่น 1 เราจะได้พบกับเรื่องราวสะเทือนใจของ ลีน่า ชาปิน หญิงสาวที่รู้ความลับสำคัญเกี่ยวกับการหายตัวไปของ แกรี่ แม็กคัลลอฟ พ่อเลี้ยงของเธอ และท้ายที่สุดตัว ลีน่า เองก็หายตัวไปอย่างปริศนาเช่นกัน
ดูคลิปนี้ได้ที่นี่
#ลีน่า ชาปิน
ลีน่า ชาปิน เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1985 เติบโตมาในครอบครัวที่มีพี่น้องสาวถึงห้าคน ได้แก่ แบรนดี, โรบิน, ไรอันน์, และโรซี่ ครอบครัว ชาปินมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา พวกเขาอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของ แซนดร้า แซนดี้' เคลมป์ ผู้เป็นแม่ ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นนี้
ชีวิตของลีน่าและพี่น้องทุกคนไม่ง่าย เติบโตขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายและความขัดแย้งในครอบครัว สภาพแวดล้อมรอบตัวทำให้เธอต้องมีความเข้มแข็ง แต่ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความกดดัน ลีน่า ไม่เพียงแต่ต้องรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างแม่ของเธอและผู้ชายหลายคน แต่ยังต้องเผชิญกับการกดดันให้เก็บความลับที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ
แซนดร้า แซนดี้ เคลมป์ เป็นผู้หญิงที่มีชีวิตส่วนตัวที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยปัญหาความสัมพันธ์แบบคยซ้อนไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จักพอ แซนดี้ แต่งงานและหย่าร้างหลายครั้งก่อนที่เธอจะมาพบกับ แกรี่ แม็กคัลลอฟ ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้เป็นต้นเหตุให้เธอต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า
แซนดี้ แต่งงานครั้งแรกกับสามีที่ไม่ถูกกล่าวชื่อในสารคดีและมีลูกสาวกับเขาคนหนึ่งชื่อ แบรนดี แต่ชีวิตคู่ของทั้งสองกลับไม่ยืนยาว การแต่งงานนี้จบลงด้วยการหย่าร้าง เนื่องจาก แซนดี้ รู้สึกว่าชีวิตคู่นี้ไม่ตอบสนองความต้องการของเธอ
ต่อมา แซนดี้แต่งงานกับอัลเบิร์ต แม็กคัลลอฟ และมีลูกด้วยกันโรบิน การแต่งงานครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เนื่องจาก แซนดี้ มักมีความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง ซ้ำร้ายแซนดี้ยังไปแอบคบชู้กับน้องชายของอัลเบิร์ตคือ แกรี่ แม็กคัลลอฟทำให้ความเกิดขัดแย้งในครอบครัว และทำให้พี่น้องต้องปัญหากันเอง ชีวิตของแซนดี้ก็เป็นเป็นเช่นนี้และมักเกิดขึ้นซ้ำ ๆ การแต่งงานครั้งนี้ก็สิ้นสุดลงด้วยการหย่าร้างเช่นเดิม
หลังจากการแต่งงานครั้งที่สองกับอัลเบิร์ตจบลงอล้มเหลว แซนดี้ ก็แต่งานกับน้องชายของเขาทันทีคือ แกรี่ แม็กคัลลอฟในปี 1996 ความสัมพันธ์ของทั้งสองดูเหมือนจะมั่นคงในช่วงแรก พวกเขารวมถึงลูก ๆ ของแซนดี้ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในฟาร์มในรัฐมิสซูรี ซึ่ง แกรี่ ทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อดูแลครอบครัว และสอนให้ลูก ๆ ของแซนดี้ทำงานในฟาร์มด้วย
แต่หลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่ฟาร์ม ความสัมพันธ์ระหว่างแซนดี้ และแกรี่ ก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อ แซนดี้เริ่มให้ความสนใจกับชายหนุ่มชาวไร่ คริส เคลมป์ อายุเพียง 21 ปี ซึ่งเธอเพิ่งแต่งงานอยู่กับ แกรี่ เพียงแค่สามปีเท่านั้น ทั้งสองเริ่มแอบพบกันโดย แกรี่ ไม่รู้เรื่อง
ไม่นานแกรี่รู้เรื่องความสัมพันธ์นี้และยังพบว่าแซนดี้ปลอมเช็คในบัญชีธนาคารของเขา แกรี่จึงคุยกับทนายความเรื่องการหย่าร้าง และนั่นก็ทำให้แซนดี้โกรธมาก ถึงขนาดที่เธอหยิบปืนลูกซองของแกรี่มายิงแกรี่ที่ท้อง แต่โชคดีมากที่กระสุนปืนด้านในวันนั้น
เมื่อความสัมพันธ์ลับระหว่างแซนดี้กับคริสเริ่มเปิดเผยขึ้น แซรดี้ กับ คริส วางแผนเพื่อทำให้ แกรี่หายตัวไป โดยเรื่องราวนี้กลับกลายเป็นต้นเหตุของการเปิดเผยความลับที่ ลีน่า เด็กสาวอายุ 13 ปีต้องเผชิญ
#การหายตัวไปของ แกรี่ แม็กคัลลอฟ
ในวันที่ 11 พฤษภาคม 1999 แกรี่ แม็กคัลลอฟ ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจากฟาร์มที่เขาิยู่
ในวันนั้น แบรนดี พี่สาวคนโตได้เล่าให้เรื่องราวให้กับ ทางตำรวจสอบสวนว่า แซนดี้แม่ของพวกเธอได้ให้น้อง ๆ ออกไปนอกบ้านให้ไปเล่นกับลูกแมวที่พึ่งคลอด แต่แบนดี้เป็นพี่คนโตเธอยังคงต้องทำงานรีดนมวัวต่อ เธอเธอจึงเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อไปเอาอุปกรณ์ เมื่อเปิดประตูเข้าไปเธอเห็นว่าแม่ของเธอรัดผมแน่นในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วขัดพื้น ด้วยน้ำยาฟอกขาว ตกเย็นในขณะที่กำลังนั่งกินสปาเก็ตตี้กันแม่ของพวกเธอก็ได้กำชับให้กับ ลูกๆว่าถ้ามีใครมาถามถึงแกรี่ก็ให้บอกว่าเขาออกไปซื้อไก่ชนแล้วไม่ได้กลับเข้ามาบ้านอีกเลย ลูก ๆ ทุกคนก็เชื่อฟังเพราะกลัวแม่มาก
และในคืนนั้นเองหลังจากที่ทุกคนเข้านอนแล้วลีน่า กับน้องสาวอีกคนหนึ่ง ก็ได้เห็นว่าแม่ของเธอกับคริสกำลัง แบกสิ่งของบางอย่าง ห่อด้วยถุงผ้าใบ เธอเห็นว่ามีรองเท้าที่แกรี่เคยใส่ยืนออกมานอกถุงนั้นด้วย แต่ด้วยความที่ลีน่าเป็นเด็กก็เลยบอกกับน้องสาวของเธอว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะถ้าแม่รู้แม่จะแยกพวกเธอออกจาก
สามวันต่อมา แซนดี้บอกกับนายอำเภอในพื้นที่ว่าแกรี่ไปซื้อไก่ชนและไม่เคยกลับบ้านเลย เมื่อถูกขอให้ทำเครื่องจับเท็จ แซนดี้ตอบว่า “ถ้าคุณพบศพ ฉันจะทำเครื่องจับเท็จ” แล้วหลังจากการสอบสวนได้เพียง 3 วัน แซนดี้ก็นำคลิสย้ายเข้ามาอยู่ในฟาร์มของแกรี่ทันที
แซนดี้ อ้างกับตำรวจว่า แกรี่ หายตัวไปเพราะเขามีหนี้สินและอยากหนีไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ จึงสอดคล้องกับที่ว่าทำไมในบ้านไล่จึงไม่มีเสื้อผ้าของแกรี่อยู่เลย แต่ครอบครัวของ แกรี่ ไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างนี้ เพราะแกรี่เป็นคนที่รักครอบครัวและไม่มีเหตุผลที่จะแอบหายตัวไปเช่นนี้
ในช่วงเวลาที่แกรี่หายตัวไป แซนดี้ยังคงดำเนินชีวิตอย่างปกติ และยังคงใช้ชีวิตอยู่ในฟาร์มแห่งนี้ร่วมกับ คริส ซึ่งเธอเริ่มใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคู่รัก ความแปลกประหลาดนี้ทำให้ครอบครัวของ แกรี่สงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แต่เรื่องราวการหายตัวไปและเกิดอะไรขึ้นกับแกรี่นั้น ลีน่า ซึ่งขณะนั้นอายุ 13 ปี เป็นคนเดียวที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และหลังจากนั้นมาก็ทำให้เธอกลายเป็นคนละคน เงียบ ไม่พูดจากับใคร เหม่อลอย ราวกลับมีบางอย่างอัดอั้นในตัวเธอรอวันระเบิด
#ความจริงจากลีน่า
ในปี 2003 หลังจากที่ ลีน่าเก็บความลับนี้ไว้ถึงสี่ปี เมื่ออายุได้ 17 ปี ได้เปิดเผยความลับนี้ให้ อัลเบิร์ต แม็กคัลลอฟ ซึ่งก็คือพ่อเลี้ยงคนเก่าของเธอ และพี่ชายของแกรี่ พ่อเลี้ยงคนใหม่ของเธอฟัง เพราเธอไม่อาจทนเก็บความรู้สึกผิดได้อีกต่อไป
ลีน่าบอกว่าแซนดี้ แม่ของเธอยิงแกรี่ในบ้านสามนัดในขณะนี่งกินอาหารอยู่ ลีน่าถูกบังคับให้ช่วยกำจัดศพของแกรี่ เผาร่างของเขาในกองพุ่มไม้ จากนั้นก็บังคับให้เธอช่วยทำความสะอาดที่เกิดเหตุ และโยนกระดูกที่ไหม้เกรียมของเขาออกไปนอกหน้าต่างรถบรรทุกขณะที่พวกเขากำลังขับรถไปตามถนนในชนบท
แม้ว่าการสารภาพนี้ควรจะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อสี่ปีที่แล้ว แต่ ลีน่าก็ไม่กล้าพูดและรู้สึกกดดันอย่างมาก เนื่องจากเธอถูกแม่ขู่ฆ่าหากเธอเปิดเผยความลับนี้กับใคร
สิ่งที่ลีน่าไม่รู้ก็คืออัลเบิร์ตกำลังแอบบันทึกคำสารภาพของเธอไว้ ซึ่งเขาส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทันที
แซนดี้รู้เรื่องเทปนั้นและในฐานะผู้ปกครองตามกฎหมายของลีน่า เธอจึงส่งทนายมาสั่งให้ให้ลีน่าถอนคำสารภาพของเธอ จึงไม่สามารถใช้ในการดำเนินคดีได่
ลีน่าจึงไม่พูดถึงการฆาตกรรมอีกและดำเนินชีวิตต่อไป
เธอมีคนรัก มีลูก ได้งานทำ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับแฟนหนุ่มของเธอ
#ลีน่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ต่อมา ลีน่า ซึ่งขณะนั้นกำลังจะมีอายุครบ 21 ปี และเป็นอิสระจากแซนดี้แล้ว ได้วางแผนเริ่มต้นชีวิตใหม่กับแฟนหนุ่มและลูกชายของเธอในบ้านอันสงบสุข แต่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2006 ลีนา ได้หายตัวไปอย่างปริศนา โดยทิ้งลูกชายวัย 2 ขวบไว้ที่บ้าน
เมื่อแฟนหนุ่มของเธอกลับมาจากที่ทำงาน เขาพบแซนดี้กำลังเก็บข้าวของของลีน่าอยู่ แซนดี้บอกเขาว่าลีน่าหนีไปฟลอริดากับผู้ชายคนอื่นแล้ว แต่สิ่งผิดปกติคือเสื้อผ้า รูปถ่าย รถยนตร์ และที่สำคัญที่สุดคือลูกชายของเธอ ก็ยังคงอยู่ซึ่งลีน่ารักลูกของเธอมากจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งเอาไว้ข้างหลัง ส่วนพี่ ๆ น้อง ๆ ของลีน่ากลัวแม่มาก จึงไม่แจ้งความว่าลีน่าหายตัวไป
การหายตัวของลีน่า เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะถูกเรียกตัวไปให้การในฐานะพยานคดีการหายตัวไปของ แกรี่ แม็กคัลลอฟ
#การดำเนินคดี
แต่ไม่กี่ปีต่อมา วันที่ 26 มิถุนายน 2006 ครอบครัวของแกรี่ฟ้องร้องแซนดี้ในคดีแพ่งเกี่ยวกับการเสียชีวิตโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และนี่อาจจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้ลีน่านั้นออกมาพูดเรื่องการก่อเหตุฆาตกรรมของแม่และพ่อเลี้ยงคนใหม่ของเธอได้ เพราะลีน่าก็คือหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดเพราะเธอนั้นเป็นผู้ร่วมกำจัดศพของแกรี่ด้วย แต่ลีน่าก็จะถูกกันตัวออกมาในฐานะพยาน นายอำเภอในพื้นที่จึงพยายามออกหมายเรียกลีน่า นั่นเป็นตอนที่ทุกคนยอมรับว่าลีน่าหายตัวไปจริงๆ
พี่น้องของลีน่ารู้อยู่เต็มอกว่า การที่ลีน่าหายตัวไปนั้น ก็คงไม่พ้นน้ำมือของแม่พวกเธอ แต่ทำได้เพียงแค่ปิดประกาศไปทั่วเมือง เกี่ยวกับการหายตัวไป และให้ผู้คนช่วยตามหา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ แซนดี้ได้ให้น้อง ๆ ของลีน่า ไล่แกะใบประกาศออกโดยนำใบประกาศที่แกะได้มาแลกกับเงิน ซึ่งนั่นมันก็เป็นสิ่งที่ผิดสามัญสำนึกเป็นอย่างมากเพราะไม่มีแม่คนไหนสั่งให้แกะใบประกาศตามหาตัวลูกแน่นอน
ลีน่า ชาปิน ถือเป็นพยานสำคัญที่สุดในคดีการหายตัวไปของ แกรี่ แม็กคัลลอฟ เธอเป็นคนเดียวที่รู้ความจริงและมีหลักฐานที่สามารถมัดตัวผู้ต้องสงสัยได้ ลีน่าเป็นพยานที่สำคัญมาก
เหล่าบรรดาพี่น้องของลีน่ามีความเชื่อว่าแซนดี้ต้องการอยากได้ลูกของลีน่ามาเป็นลูกของตัวเอง เพราะเธอไม่มีลูกผู้ชายมาก่อนเลย และนี่อาจจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่มีส่วนทำให้ลีน่าหายไปก็เป็นได้
หลายคนเชื่อว่าการที่ ลีน่า หายตัวไปเป็นเพราะเธอกำลังจะเปิดเผยความลับของแม่ของเธอในศาล ความกดดันที่เธอต้องเผชิญในการเก็บความลับเกี่ยวกับการฆาตกรรมแกรี่ เป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัสในชีวิต จนเมื่อเธอถูกตั้งเป็นพยานในการฟ้องร้องของครอบครัวแม็กคัลลอฟ ความสำคัญของ ลีน่า ยิ่งทวีความสำคัญขึ้น เธออาจเป็นบุคคลเดียวที่สามารถเปิดเผยความจริงได้ เนื่องจากเธอใกล้ชิดโดยตรงเกี่ยวกับการฆาตกรรม แต่ก่อนที่เธอจะสามารถให้ความยุติธรรมกับแกรี่ได้ เธอก็หายตัวไปอย่างไม่มีใครทราบ
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เริ่มขยายการสืบสวนเพิ่มเติม พวกเขาพยายามหาหลักฐานใด ๆ ที่จะนำไปสู่การพบตัวของเธอ แต่ผลการสืบสวนก็ยังไม่สามารถคลี่คลายอะไรได้เลย แม้จะมีการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมและการค้นหาในพื้นที่ต่าง ๆ ที่เธออาจจะอยู่ แต่ก็ไม่มีร่องรอยของเธอเลย
การหายตัวไปของ ลีน่า ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องหันกลับมาสนใจความเป็นไปได้ที่ แซนดี้ อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่คดีนี้กลับไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีกับ แซนดี้ และ คริสได้ โดยตรง และแม้ว่า ลีน่าจะเคยสารภาพกับ อัลเบิร์ต ว่าแม่ของเธอและคริสเป็นผู้สังหารแกรี่ แต่ก็ไม่มีหลักฐานทางกายภาพ เช่น ศพหรือหลักฐานที่ชี้ชัดถึงการกระทำผิด สถานการณ์ที่คลุมเครือนี้ทำให้การสืบสวนไม่สามารถก้าวหน้าไปได้ ทำให้คดีนี้ขาดพยานหลักฐานสำคัญ ทำให้การสืบสวนและการดำเนินคดีในที่สุดต้องชะงักลง
ในระหว่างการสืบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าหลายส่วนของคำให้การจาก แซนดี้ขัดแย้งกับข้อมูลและหลักฐานทางกายภาพ ตัวอย่างเช่น แซนดี้อ้างว่าในวันที่ แกรี่ หายตัวไป เขาได้เดินทางไปซื้อไก่ชน แต่กลับไม่มีใครพบเห็นหรือยืนยันการเดินทางนี้ และแม้ แซนดี้จะกล่าวหาว่าแกรี่ มีหนี้สินจึงหลบหนีเจ้าหนี้ไปอยู่ที่อื่น แต่ไม่มีข้อมูลใหรือมีเจ้าหนี้ออกมาที่สนับสนุนข้ออ้างนั้น
ใน กรกฎาคม 2013 ในการพิจารณาคดี แม้ว่าลีน่าจะไม่มีคำให้การ และเทปคำรับสารภาพของลีน่าก็ไม่อนุญาตให้เอามาใช้ประกอบหลักฐานในการดำเนินคดี เพราะได้ถูกยกเลิกผ่านกระบวนการทางกฏหมายก่อนหน้านี้แล้ว แต่แซนดี้และคริส ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานทำให้แกรี่ แม็กคัลลอฟเสียชีวิตโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ศาลแพ่งของรัฐมิสซูรีได้ตัดสินให้ครอบครัวของ แกรี่ แม็กคัลลอฟ ชนะคดี โดยพิจารณาว่า แซนดี้ และ คริส ต้องรับผิดชอบต่อการหายตัวไปของ แกรี่ แม็กคัลลอฟ พวกเขาถูกสั่งให้ชดใช้เงิน 7 ล้านเหรียญ
ถึงแม้การตัดสินนี้จะเป็นการตัดสินในคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญา และยังไม่มีการลงโทษทางกฎหมายที่สามารถนำไปสู่การจับกุมหรือการจำคุก แต่ครอบครัวของ แกรี่ก็ยังได้รับความยุติธรรมในระดับหนึ่ง แต่นั้นก็คงไม่เพียงพอกับชีวิตหนึ่งที่ต้องเสียไป
จากนั้นในปี 2014 แซนดีก็ได้หย่ากับคริส แล้วเธอก็แต่งงานใหม่ และได้รับเลี้ยงดูโคลเตอร์ ลูกของลีน่าสมใจที่เธอหวัง
จนถึงทุกวันนี้ ผู้คนในท้องถิ่นที่เชื่อว่าการหายตัวไปของลีน่า มีความเกี่ยวข้องกับเซนดี้ แม่ของเธอเองโดยตรง หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า แซนดี้ อาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของลูกสาวตัวเองเพื่อปกป้องความลับอันเลวร้ายของเธอ แต่เนื่องจากขาดหลักฐานที่ชัดเจน การดำเนินคดีทางอาญาจึงไม่เกิดขึ้น
และทุกวันนี้แบรนดี้กับพี่น้องก็ยังคงตามหาลีน่าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านไร่หลังเก่าที่เคยอาศัยอยู่เกรี่ และบ้านหลังใหม่ เพราะพวกเธอเชื่อว่า แม่ของพวกเธอน่าจะฝังร่างลูกของตนเองในที่ใดที่หนึ่ง
#สรุปและส่งท้าย
คดีการหายตัวไปของ แกรี่ แม็กคัลลอฟ และ ลีน่า ชาปิน เป็นคดีที่ยังคงไม่มีคำตอบชัดเจนแม้จะผ่านเวลามาหลายปี ความลึกลับในคดีนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในครอบครัว การปิดบังความจริง และการหายตัวไปอย่างปริศนาของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ลีน่า ชาปิน ที่เป็นพยานสำคัญในคดีนี้ ได้หายตัวไปก่อนที่เธอจะได้ให้การในศาล ทำให้คดีนี้ยิ่งซับซ้อนและไร้คำตอบที่แน่ชัด
แม้ว่าในศาลแพ่งค รอบครัวของ แกรี่ แม็กคัลลอฟจะได้รับการตัดสินที่เข้าข้างพวกเขา แต่ก็ยังคงไม่มีการลงโทษทางอาญาที่ชัดเจน แซนดี้ และ คริสยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่งทำให้ครอบครัว แกรี่ แม็กคัลลอฟ และผู้ที่สนใจคดีนี้ยังคงตั้งคำถามความยุติธรรมที่ได้รับ
เรื่องราวของ ลีน่า ชาปิน กลายเป็นเครื่องเตือนใจถึงความซับซ้อนของความลับในครอบครัวและผลกระทบที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนคนหนึ่งได้ คดีนี้ยังคงเป็นปริศนา และหลายคนยังคงหวังว่าสักวันหนึ่งความจริงจะถูกเปิดเผย
@วาทิน ศานติ์ สันติ
#SuperReviewChannel
#คดีลีน่าชาปิน
#คดีแกรี่แม็กคัลลอฟ
#พยานที่หายไปUnsolvedMysteries
#สรุปสารคดีUnsolvedMysteriesNetflix
ไม่มีความเห็น