วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๗ ผมเข้าร่วมประชุม PLC แลกเปลี่ยนประเด็นเรียนรู้บทบาทศึกษานิเทศก์ให้เป็นโค้ช (Supervisor as Coach) เพื่อการมีส่วนร่วมกับสถาบันผลิตครูและโรงเรียนปลายทางครูรัก(ษ์)ถิ่น เวลา 09.30 – 14.00 น.ณ ห้องประชุมสานพลัง กสศ. และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยผมเข้าร่วมประชุมแบบ ออนไลน์
หลังได้ฟัง ศน. ๔ กลุ่ม ๙ ท่าน เล่าข้อเรียนรู้จากการเข้าร่วมฝึกเป็น โค้ช และ Fa การจัดการเรียนรู้แบบ active learning โดยมีคุณ Paul Collard เป็นหัวหน้าทีมฝึก ผมเห็นความสามารถที่สูงมากของ ศน. ทั้ง ๙ ท่านด้านการตกผลึกหลักการที่ได้เรียนรู้จากการได้เข้าเป็นทีมโค้ชในกิจกรรม Workshop Active Learning (การเรียนรู้เชิงรุก) และเชื่อมโยงหลักการของการเรียนรู้เชิงรุก เข้าสู่การปรับเปลี่ยนบทบาทของ ศน. เป็นโค้ช ได้อย่างดียิ่ง
แต่ผมอดมองมุมกลับไม่ได้ว่า Abstract Conceptualization ยังไม่พอ ยังต้องมี จริตเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพื่อใช้เป็นพลังขับเคลื่อนสู่การนำหลักการที่ตกผลึกได้ไปลองใช้ (Active Experimentation) ตามใน Kolb’s Experiential Learning Cycle
กล่าวใหม่ว่า การที่ ศน. ทั้ง ๙ ท่านเข้าร่วมฝึกเป็น Fa & coach ใน workshop ฝึก Active Learning แก่ นศ. ครูรัก(ษ์)ถิ่น หากมองจากมุมของการเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยเอา Kolb’s Experiential Learning Cycle เข้ามาจับ ศน. ทั้ง ๙ ท่าน ได้เข้าสู่ Concrete Experience แล้วท่านเข้าสู่ขั้นที่ ๒ ของ Kolb’s Experiential Learning Cycle ได้อย่างดีเยี่ยม คือ Reflective Observation แล้วเข้าสู่ขั้นตอนที่ ๓ คือ Abstract Conceptualization (ตกผลึกหลักการ) แต่น่าเสียดายที่ในตอนที่ท่านนำเสนอต่อที่ประชุม ท่านหยุดอยู่แค่ขั้นตอนที่ ๓ ไม่ก้าวต่อสู่ขั้นตอนที่ ๔ ของ Kolb’s Experiential Learning Cycle คือ Active Experimentation เพื่อให้ครบวงจรหรือเกลียวยกระดับของการเรียนรู้ของ PLC
ผมจึงถาม ศน. ทั้ง ๔ ทีม ว่าได้เอาหลักการที่ตกผลึกได้ไปทดลองใช้กับครูอย่างไรบ้าง ขอให้เล่าเป็นเรื่องเล่า (storytelling) จึงได้เรื่องเล่าพรั่งพรูออกมา ฟังแล้วชื่นใจ
สองทีมเอาไปใช้กับครูจริงๆ ที่พอจะเดาได้ว่า จะเห็นผลที่ learning outcome ของนักเรียน และน่าจะเกิด experiential learning spiral เพราะสองทีมนี้ทำ Active Experimentation จริงๆ ส่วนอีกสองทีมเอาไปใช้ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาในเชิงบริหาร ที่ไม่ชัดเจนว่าจะส่งผลถึงนักเรียน และไม่แน่ว่าจะเกิด experiential learning spiral หรือไม่ นี่คือความซับซ้อนของระบบการศึกษา
การดำเนินการการประชุมเน้นไปที่บทบาท ศน. กับการผลิตครู ที่นำสู่แนวคิดดีๆ มากมาย ในตอนท้ายผู้ดำเนินรายการโยนมาให้ผมให้ความเห็น ผมใช้จริต เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บอกที่ประชุมว่า ผมมีความสงสัยว่า หากทำตามแนวที่เราคุยกันมาเป็นเวลาราวๆ ๔ ชั่วโมง ผลลัพธ์การเรียนรู้ของเด็กไทยจะสูงขึ้นหรือไม่ ผมสงสัยว่าอีก ๑๐ ปีจะมีคำตอบว่าไม่ เพราะที่พูดกันมา ๔ ชั่วโมงนั้น ไม่มีการพูดถึงผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนเลย
ผมสรุปกับตัวเอง (ไม่ทราบว่าสรุปถูกหรือผิด) ว่า สิ่งที่ ศน. เรียนรู้จากการฝึกกับคุณ พอล คอลลาร์ด นั้น ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว เป็นสิ่งที่ ศน. ต้องร่วมกับครูเอาไปลองประยุกต์ใช้กับนักเรียน แล้วเรียนรู้จากประสบการณ์ ในลักษณะของการหมุนยกระดับเกลียวการเรียนรู้ด้วย Kolb’s Experiential Learning Cycle
ศน. จึงต้องทำหน้าที่แบบ “ไม่นิเทศ” แต่ทำหน้าที่เข้าไปร่วมทำงานและร่วมเรียนรู้จากประสบการณ์ร่วมกับครู คือร่วมวง PLC กับครู ยิ่งเข้าร่วมสังเกตชั้นเรียน ตามในหนังสือ โรงเรียนเป็นชุมชนเรียนรู้ ก็จะเป็นประกันว่า นักเรียนจะได้ประโยชน์จริง
วิจารณ์ พานิช
๙ ม.ค. ๖๗
ไม่มีความเห็น