บันทึกชุด โรงเรียนเป็นชุมชนเรียนรู้ นี้ ตีความจากการอ่านหนังสือ ๒ เล่ม คือ Lesson Study and Schools as Learning Communities : Asian School Reform in Theory and Practice (2019) edited by Atsushi Tsukui and Masatsuku Murase และ Lesson Study Communities : Increasing Achievement With Diverse Students (2007) by Karin Wiburg and Susan Brown
ตอนที่ ๑๒ นี้ ตีความจาก บทที่ ๖ ของหนังสือเล่มที่สอง เรื่อง Reflecting on and Sharing Your Research Lesson เขียนโดย Jeff Hovermill Samatha
สรุปโดยย่อที่สุดคือ ครูต้องรู้จักใช้ขั้นตอนของการจัดทำรายงานผลของกิจกรรม LS เพื่อการเรียนรู้ของตน ทั้งการเรียนรู้การทำงานเป็นทีม การเรียนรู้จากประสบการณ์ ที่เน้นเรียนรู้ความรู้เชิงสระวิชาที่ตนสอน เรียนรู้กระบวนการจัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนในวิชาที่ตนสอน และเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้ของครูเอง และที่สำคัญที่สุด เรียนรู้จิตวิญญาณความเป็นครู ที่เป็นจิตวิญญาณของวิชาชีพ ที่ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และมีส่วนสร้างการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพของตน
นักวิชาชีพ (เช่นแพทย์ ทนายความ วิศวกร ครู) คือผู้ปฏิบัตงานที่ต้องใช้ความรู้ความชำนาญขั้นสูง ที่ต้องผ่านการเรียนรู้ฝึกฝนอย่างเคี่ยวกรำ และในการปฏิบัติวิชาชีพต้องเรียนรู้ต่อเนื่อง รวมทั้งต้องเผยแพร่ความรู้ความชำนาญนั้นเพื่อยกระดับสมรรถนะของชุมชนวิชาชีพของตนอย่างต่อเนื่อง กล่าวง่ายๆ ว่าครูต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจากการทำหน้าที่ของตน และแบ่งปันการเรียนรู้นั้นแก่เพื่อนครู เพื่อให้วิชาชีพครูในภาพรวมทำประโยชน์แก่สังคมเพิ่มขึ้น และพัฒนาขึ้น อยู่ตลอดเวลา
สาระในบทที่ ๑๒ นี้ว่าด้วยเรื่องดังกล่าว
การเผยแพร่หรือแบ่งปันความรู้จากการศึกษาบทเรียนทำได้ ๓ ทางใหญ่ๆ คือ (๑) การสาธิตกระบวนการและผล (๒) การนำเสนอในที่ประชุมวิชาการ และ (๓) การนำเสนอเป็นเอกสารรายงาน ไม่ว่าจะเผยแพร่ในแบบใด ทีมงานต้องร่วมกันสะท้อนคิดข้อเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในลักษณะทำความเข้าใจการเรียนรู้ของตนเอง ที่เรียกว่า “อภิปัญญา” (metacognition)
สะท้อนคิดสิ่งที่ได้เรียนรู้
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสาระวิชา นักเรียน และครู เป็น สามเหลี่ยนแห่งการสอน ดังรูป
ในกระบวนการ LS ทีมงานได้เรียนรู้จาก (๑) สิ่งที่ครูปฏิบัติ (๒) สิ่งที่นักเรียนปฏิบัติ (๓) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนส่งผลต่อการเรียนรู้สาระวิชาอย่างไรบ้าง
ในการรายงานผลของ LS ทีมงานต้องสะท้อนคิดตีความหาความหมาย จากข้อมูลที่เก็บได้จากกระบวนการ LS ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
บทบาทของความเข้าใจสาระวิชาในกิจกรรมเรียนรู้บทเรียน
หลักสูตรผลิตครูโดยทั่วไปไม่ทำให้ครูแม่นในสาระวิชาที่ตนสอนอย่างแท้จริง แต่การทำหน้าที่ครูมีความจำเป็นต้องใช้ความรู้ ๓ ด้าน คือ (๑) ด้านสาระ (๒) ด้านการเรียนการสอน และ (๓) ด้านการเรียนการสอนในสาระหนึ่งๆ (PCK – Pedagogical Content Knowledge) ครูต้องแม่นในทั้งความรู้ทั้ง ๓ ด้านนี้ จึงจะทำหน้าที่หนุนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างลึกและเชื่อมโยงได้ คือช่วยให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้เชิงกระบวนการ (procedural knowledge) เข้ากับความรู้เชิงหลักการ (conceptual knowledge) และเชื่อมโยงเข้ากับการประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง หรือในโลกแห่งความเป็นจริง และเชื่อมโยงกับความรู้ในต่างสาขา
เป้าหมายของการศึกษาบทเรียน (Lesson Study) คือการส่งเสริมให้นักเรียนดำเนินการกระบวนการเรียนรู้เกือบทั้งหมดของกระบวนการ นำสู่การเรียนรู้ที่ลึกกว่า และความเข้าใจที่ยั่งยืนกว่า จะเป็นเช่นนั้นได้ ครูต้องแม่นในความรู้ ๓ ด้านที่กล่าวแล้ว โดยที่ครูจะมี PCK แม่น ก็ต้องมีความรู้เชิงสาระแม่นมาก่อน แต่กระบวนการการศึกษาบทเรียนจะช่วยให้ครูเรียนรู้และยกระดับความรู้ ๓ ด้านนี้ขึ้นไปพร้อมๆ กัน ยิ่งถ้ามีผู้เชี่ยวชาญด้านสาระ เช่นอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือครูอาวุโสที่เชี่ยวชาญด้านสาระเข้าร่วมด้วย ก็จะช่วยให้ครูในทีมพัฒนาความรู้เชิงสาระได้ดียิ่งขึ้น
เพื่อช่วยเตรียมการเขียนรายงาน มีข้อแนะนำคำถามสำหรับบอกให้ครูทำอะไร
ขอยกตัวอย่างข้อสะท้อนคิดของครูว่าได้เพิ่มพูนความรู้เชิงสาระจากกิจกรรมศึกษาบทเรียนของตน ดังต่อไปนี้
ครูคนที่ ๑ “จุดแข็งอย่างหนึ่งของ LS คือ ได้ปรึกษาหารือตัวหลักการสำคัญด้านคณิตศาสตร์ที่ต้องการให้นักเรียนเข้าใจ ก่อนหน้านี้เราลอกมาจากตำรา แต่ตอนนี้เราหาหลักฐานว่าตรงไหนที่ยากต่อนักเรียน แล้วค้นคว้าและปรึกษาหารือกันว่านักเรียนต้องมีความรู้เดิมในลักษณะใดบ้าง จึงจะเรียนรู้บทเรียนนี้เข้าใจได้ลึก”
ครูคนที่ ๒ “สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้อยู่ที่สาระวิชา มีประโยชน์มากที่ครูได้มีโอกาสแชร์กัน ว่าตนมองสาระเรื่องนั้นอย่างไร จากการได้ฟังครูคนอื่น ทำให้ฉันเข้าใจสาระนั้นเพิ่มขึ้น”
ครูคนที่ ๓ “เมื่อเราทบทวนการเรียนคณิตศาสตร์ของเราสมัยเป็นนักเรียน เรารู้สึกว่าเรามีความรู้คณิตศาสตร์เพียงผิวเผิน เมื่อได้อ่านหนังสือ The Teaching Gap (1999) และเข้าร่วมกิจกรรมศึกษาบทเรียน ก็รู้สึกว่าได้เข้าใจคณิตศาสตร์ลึกขึ้นมาก ได้ตระหนักว่าเราสามารถหนุนให้นักเรียนเข้าใจหลักการคณิตศาสตร์ ที่ตัวเราเองไม่ได้เรียนสมัยเป็นนักเรียนและนักศึกษา”
ผมขอเพิ่มเติมว่า ครูจะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมศึกษาบทเรียนได้อย่างแท้จริง ต้องทำตัวเป็นแก้วที่น้ำไม่เต็ม
สาระกับนักเรียน
กระบวนการศึกษาบทเรียน ช่วยให้ครูได้เรียนรู้ทำความเข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับสาระวิชา ในกระบวนการนี้ ครูร่วมกันกำหนดเป้าหมายทั้งระดับเป้าหมายใหญ่ และเป้าหมายจำเพาะบทเรียน ว่าต้องการให้นักเรียนบรรลุผลอะไร แล้วร่วมกันวางแผนให้นักเรียนมีโอกาส และเข้าถึงการที่จะพัฒนาความเข้าใจทั้งด้านสาระและกระบวนการ จากการศึกษาบทเรียน ครูได้เข้าใจปัจจัยที่ช่วยเอื้อหรือปิดกั้นนักเรียนต่อการบรรลุเป้าหมายนั้น ครูควรได้รายงานผลการเรียนรู้นี้
ในยุคที่ความรู้มากล้น ครูต้องเลือกสอนเฉพาะความรู้ที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น กระบวนการศึกษาบทเรียนจะช่วยให้ครูมีทักษะในการเลือกประเด็นที่ควรให้นักเรียนทำความเข้าใจ โดยมีคำถามช่วยดังต่อไปนี้
ครูต้องตั้งเป้าหมายสูง ให้นักเรียนทุกคนบรรลุความเข้าใจที่จำเป็นด้านสาระและกระบวนการที่กำหนด ซึ่งหมายความว่านักเรียนต้องได้รับโอกาสมาก ต่อการเรียนรู้เพื่อทดสอบและสร้างความรู้ความเข้าใจใส่ตัว ประสบการณ์ของครู ในการจัดโอกาสเรียนรู้แก่นักเรียนเป็นสิ่งมีค่ามาก และควรหาทางสะท้อนคิดออกมาเป็นรายงาน โดยมีคำถามช่วยดังต่อไปนี้
เพื่อการเรียนรู้ของทีมครู และเพื่อการเขียนรายงานในภายหลัง นอกจากทีมครูจะสังเกตนักเรียนในกระบวนการศึกษาชั้นเรียนแล้ว ต้องเก็บข้อมูล เอามาทำความเข้าใจหลากหลายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน คำถามเพื่อช่วยการเก็บข้อมูลได้แก่
หลังจากครูดำเนินการพัฒนารายงาน ครูมีข้อสะท้อนคิดดังนี้
ครูคนที่ ๑ “ในระหว่างกระบวนการนี้ ฉันคิดแล้วคิดอีก ว่าทำอย่างไรนักเรียนจึงจะได้เรียนรู้หลักการที่ฉันสอน และเขาจะต้องบรรลุความสำเร็จตามแต่ละขั้นตอนของบทเรียนอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ที่กำหนด ประเด็นเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะในชั้นเรียนที่ศึกษา แต่ต้องเกิดขึ้นในทุกชั้นเรียนที่ฉันสอน”
ครูคนที่ ๒ “หลังการศึกษาชั้นเรียนรอบแรก นักเรียนร้อยละ ๕๖ เข้าใจผิดว่า ๑๓ ฟุต ๖ นิ้ว เขียนว่า ๑๓.๖ ฟุต หลังปรับปรุงบทเรียน นำไปสอนรอบ ๒ ในนักเรียนกลุ่มที่เทียบกันได้ มีนักเรียนเข้าใจผิดเพียงร้อยละ ๑๔”
ครูคนที่ ๓ “การศึกษาบทเรียนเน้นที่การเรียนรู้ของนักเรียน การเข้าถึงนักเรียนเป็นเรื่องสำคัญในทุกบทเรียน การศึกษาบทเรียนช่วยให้การสอนโฟกัสที่ประเด็นนี้”
ครูคนที่ ๔ “ฉันได้รับ feedback จากนักเรียน ว่าเขาคุยกันเรื่องปัญหาในบทเรียนตลอดช่วงอาหารเที่ยง นักเรียนแสดงความกระหายที่จะหาคำตอบให้ได้เร็วที่สุด ด้วยวิธีการที่ดีที่สุด นักเรียนชอบมากที่เราจัดการเรียนรู้ ๒ บทในหนังสือด้วยปัญหาข้อเดียว”
ครูคนที่ ๕ “ในวงศึกษาบทเรียน นักเรียนตั้งใจแก้ปัญหามากกว่าที่ฉันคิดไว้ นักเรียนทำงานอย่างจริงจังเพื่อหาวิธีแก้โจทย์ที่ได้รับ นักเรียนตั้งใจเรียนมาก”
นักเรียนกับครู
ความสามารถของครูในการจัดให้ห้องเรียนเป็นชุมชนเรียนรู้ของนักเรียน มีผลต่อความตั้งใจเรียนและความเข้าใจของนักเรียน นี่คือผลของการวิจัย นอกจากนั้น สภาครูคณิตศาสตร์แห่งชาติ (ของสหรัฐอเมริกา) ยังแนะนำว่า “สอนเก่งยังไม่พอ ต้องรู้จักเลือกประเด็นสำหรับให้นักเรียนเรียนรู้ มีวิธีจัดให้นักเรียนเรียนรู้ร่วมกัน รู้จักเลือกคำถามเพื่อท้าทายนักเรียนที่มีความสามารถต่างกัน รวมทั้งรู้วิธีหนุนนักเรียนให้ช่วยตัวเอง โดยครูไม่เข้าไปทำแทนหรือคิดแทน”
เพื่อช่วยให้ทีมครูวางแผนบทเรียนง่ายขึ้น เขาแนะนำให้สะท้อนคิดตอบคำถามต่อไปนี้ (๑) ออกแบบการเรียนรู้อย่างไร ให้นักเรียนสนใจตั้งแต่ต้นจนจบ (๒) นักเรียนจะมุ่งมั่นตรวจสอบสาระอะไร (๓) คาดว่านักเรียนจะมีคำถามอะไร และคาดหวังคำตอบอะไรจากครู (๔) บทเรียนจะเปิดโอกาสอย่างไร ให้เกิดการสื่อสาร การร่วมมือ การประเมิน และการสรุป ดังนั้น เพื่อเขียนรายงานส่วนที่เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน แนะนำให้ทีมครูตั้งคำถามและสะท้อนคิดต่อไปนี้
ตัวอย่างคำตอบของครู (อเมริกัน) ดังนี้
ครูคนที่ ๑ เราได้เรียนรู้ว่า การเริ่มต้น (launch) ที่ดี ช่วยดึงดูความสนใจ ทำให้นักเรียนสนใจเรียนตลอดช่วงเวลาของบทเรียน
ครูคนที่ ๒ ในช่วงเริ่มต้น (launch) เรามุ่งกระตุ้นความรู้เดิมของนักเรียน และทำให้นักเรียนอยากรู้ว่าจะเกิดกิจกรรมอะไรต่อ
ครูคนที่ ๓ ฉันเคยจัดให้นักเรียนจัดกลุ่มเรียนแบบร่วมมือกันมาก่อน แต่หลังจากได้สอนบทเรียนนี้ ๒ ครั้ง ฉันได้เห็นกับตาของตนเองว่าพฤติกรรมของนักเรียนเปลี่ยนไป เมื่อเขาได้รับกติกาและความรับผิดชอบของการทำงานเป็นกลุ่ม
ครูคนที่ ๔ ต้องให้เวลาคิดแก่นักเรียน บ่อยครั้งที่ครูด่วนให้คำตอบ ฉันพบว่าการชวนให้นักเรียนคิด โดยครูตั้งคำถามเชิงชี้ทาง ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ได้ดีกว่า เพราะช่วยให้นักเรียนเป็นเจ้าของกระบวนการเรียนรู้
กระบวนการ LS
ข้อเรียนรู้จากกระบวนการศึกษาบทเรียนทั้งกระบวนการ เป็นหัวใจของรายงาน เน้นที่ (๑) วิธีจ้องมองที่กระบวนการเรียนรู้และการสอน (๒) การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล (๓) ความร่วมมือระหว่างครู การเตรียมเขียนรายงานเป็นโอกาสให้ครูได้สะท้อนคิดร่วมกัน ว่าส่วนไหนของกระบวนการใช้ได้ดีในบริบทของตน ส่วนไหนที่ต้องปรับปรุงในการสอนครั้งต่อไป โดยมีคำถามช่วยการสะท้อนคิดต่อไปนี้
ตัวอย่างข้อสะท้อนคิดของครู ดังต่อไปนี้
ครูคนที่ ๑ “ก่อนหน้านี้ ฉันไม่สังเกตเห็นว่ากระบวนการเรียนรู้ควรเป็นกระบวนการต่อเนื่องอย่างไร มองย้อนกลับไป บทเรียนของฉันแยกส่วนออกเป็น อ่าน ดูตัวอย่าง ปฏิบัติ ไม่เป็นกระบวนการที่ไหลเลื่อนต่อเนื่อง ไม่มีเรื่องราวให้ติดตาม ไม่เป็นประสบการณ์การเรียนรู้ แต่เป็นสิ่งที่ทำตามความเคยชิน เนื่องจากบทเรียนเพื่อ LS ดึงการดำเนินการตามความเคยชินออกไป กระบวนการเรียนรู้จึงคาดเดาไม่ได้ แต่เนื่องจากมีแม่แบบให้วางแผนอย่างรอบคอบ ทีมครูจึงเข้าใจหลักการเป็นอย่างดีก่อนเริ่ม LS ครูต้องรับผิดรับชอบต่อกระบวนการ LS โดยต้องตอบคำถาม ข้อดีคือคำถามเหล่านั้นมีการคาดการณ์และเตรียมตอบไว้ก่อนแล้ว ช่วยให้ครูมีความมั่นใจในการตอบ ฉันภูมิใจ”
ครูคนที่ ๒ “LS ช่วยให้ทีมครูยกระดับทักษะ โดยส่งเสริมให้เราพัฒนาความรู้เชิงวิชาชีพ”
ครูคนที่ ๓ “กระบวนการที่ช่วยให้ฉันสังเกตว่านักเรียนเรียนรู้อย่างไร และการเก็บข้อมูลที่จำเพาะ ช่วยให้ฉันเกิดความเข้าใจกระจ่างแจ้ง ในกระบวนการสอนตามปกติ เราไม่เห็นขั้นตอนรายละเอียดของการเรียนรู้ ขั้นตอนอภิปรายและสรุป (debriefing) ของ LS มีพลังมาก เพราะได้เรียนรู้มุมมองที่แตกต่างหลากหลาย ในบรรยากาศร่วมมือกันเพื่อยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน”
ครูคนที่ ๔ “ขอแนะนำครูที่จะดำเนินการ LS ให้จัดทีมที่ดี ทีมของเรามหัศจรรย์มาก สมาชิกทุกคนทำงานหนัก ร่วมมืออย่างเต็มใจและเปิดใจ ทำให้ได้ใช้พลังของสมาชิกทีมทุกคน สิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดคือการเปิดใจแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างใสซื่อ ฉันจึงแนะนำครูว่า หากจะเข้าทีม LS ให้เลือกทีมที่สมาชิกที่เอาจริงเอาจัง ทำหน้าที่ตามที่ตกลงกันอย่างรับผิดชอบ มาประชุมทุกครั้ง และสำคัญที่สุด ต้องการทำดีที่สุดเพื่อนักเรียน”
จัดระบบสิ่งที่ได้เรียนรู้
หลังจากได้สะท้อนคิดประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้ ก็ถึงการเขียนรายงาน โดยคำถามแรกที่ต้องถามตนเองคือ ผู้รับรายงานเป็นใคร และคุณต้องการให้เขาได้เรียนรู้อะไร เพื่อเอาไปทำอะไร คำถามต่อมาคือ จะรายงานในรูปแบบใด เป็นข้อเขียน การนำเสนอด้วยวาจา เว็บไซต์ วิดีทัศน์ ที่จะนำสู่กระบวนการที่ทีมงานจัดเตรียมรายงาน สาระในหัวข้อย่อยนี้มีเป้าหมายช่วยการเตรียมรายงานดังกล่าว
ผู้รับสาร (audience)
นอกจากคำถามตามในอารัมภบทข้างบนแล้ว คำถามเกี่ยวกับผู้รับสารที่จะช่วยการเตรียมรายงาน ได้แก่
ผลผลิต
ผลผลิตมีได้หลายแบบดังกล่าวแล้ว โดยคำแนะนำในการเตรียม (และใช้) มีดังต่อไปนี้
รายงานอย่างเป็นทางการ
รายงานควรเขียนจากการสะท้อนคิดของทีม LS และมีข้อมูลที่เก็บจากทุกขั้นตอนของ LS สนับสนุน โดยมีแนวทางเขียนรายงานดังนี้
ก. บทนำ ระบุประเด็นต่อไปนี้ หัวข้อของการศึกษาบทเรียน หัวข้อนี้สัมพันธ์กับเป้าหมายใหญ่ของการพัฒนานักเรียน และเป้าหมายใหญ่ของโรงเรียนอย่างไร มีการวางแผนบทเรียนนี้อย่างไร ใช้แหล่งอ้างอิงใดบ้าง ต้องการให้นักเรียนเข้าใจอะไร และทำอะไรได้ จากการเรียนบทเรียนนี้ ทำไมจึงเลือกหัวข้อนี้ หลังผ่านการเรียนในบทเรียนนี้แล้วหวังให้นักเรียนมีความเข้าใจอะไร ที่จะจดจำอยู่ตลอดไป อธิบายลักษณะของนักเรียน (ข้อมูลประชากร แรงจูงใจ ความท้าทายด้านการเรียน ฯลฯ)
ข. ข้อเรียนรู้สาระวิชาในหลักสูตร สิ่งที่ทีมครูได้เรียนรู้ เกี่ยวกับวิธีเรียนที่แตกต่างกันของนักเรียนต่างคน ในสาระวิชาที่จัดการศึกษาบทเรียน
ค. กลยุทธการสอน
ง. กระบวนการศึกษาบทเรียน
การเสนอเป็น PowerPoint
รูปแบบการนำเสนอนี้เป็นการสรุปประเด็นสำคัญ สำหรับใช้ประกอบการนำเสนอในที่ประชุม หรือในการประชุมวิชาการ โดยที่สมาชิกในทีมอาจช่วยขยายความบางตอน และจะมีพลังมากหากมีวิดีโอคลิปของเหตุการณ์สำคัญประกอบ สาระใน PowerPoint อาจปรับใช้รูปแบบตามรายงานข้างต้น
การสาธิตบทเรียน
เป็นกระบวนการที่ทรงพลังมากในการเสนอวิธีการและผลที่เกิดขึ้นต่อผู้สังเกตการณ์จำนวนมาก แต่ต้องขออนุญาตผู้ปกครองนักเรียนก่อน ยิ่งมีการถ่าย VDO ยิ่งต้องขออนุญาต กิจกรรมนี้ผู้สาธิตต้องมีประสบการณ์และมีความมั่นใจ รวมทั้งนักเรียนต้องคุ้นเคยกับการมีผู้สังเกตการณ์จำนวนมาก
กระบวนการ
นี่คือกระบวนการจัดทำรายงาน ซึ่งเช่นเดียวกันกับทุกตอนของ LS ต้องทำเป็นทีม และแบ่งงานกันทำ โดยน่าจะมี facilitator เพื่อการดังกล่าว ดีที่สุดหาก facilitator นี้ เป็น “คนนอกที่รู้เรื่องดี” คือไม่ใช่คนในทีม แต่รู้เรื่อง LS และงานของทีม ดี ทีมงานคนหนึ่งรับผิดชอบการรวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูลจากการสะท้อนคิดนำมายกร่างรายงาน
ทีมงานอีกคนหนึ่งรับผิดชอบรวบรวมและจัดระบบข้อมูล โดยทีมงานทุกคนช่วยกันดูว่ารวบรวมครบทุกความคิดเห็น และมีข้อมูลช่วยสนับสนุนข้อเรียนรู้ครบทุกประเด็น
หากจัดให้มีคลิปวิดีทัศน์ประกอบ ทีมงานอีกคนหนึ่งทำหน้าที่ บรรณาธิการ หากมี PowerPoint ประกอบ ทีมงานอีกคนรับผิดชอบ
กระบวนการจัดทำรายงาน ต้องเป็นกระบวนการ “สะท้อนคิดและเรียนรู้” (reflect and learn) ไปพร้อมๆ กับการผลิตรายงาน
เผยแพร่สิ่งที่ได้เรียน
ทุกขั้นตอนของ LS เป็นการทำงานเป็นทีม และเป้าหมายส่วนหนึ่งคือการเรียนรู้จากการปฏิบัติ และเขาให้หลักการว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่นำสู่การเผยแพร่คุณภาพสูงคือการตระเตรียม ซึ่งต้องทำเป็นทีม ตรวจสอบว่ารายงานได้รับการ edit อย่างดี ทุกตอนมีความชัดเจน อ่านเข้าใจง่าย และก่อนเสนอรายงานฉบับจริง หรือนำขึ้นเว็บ ต้องให้คนที่ไม่ได้อยู่ในทีม LS ช่วยอ่านเพื่อตรวจสอบว่าอ่านแล้วเข้าใจได้ดี ไม่มีส่วนใดที่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจยาก
หากจะมีการนำเสนอด้วยวาจา ต้องเลือกสมาชิกคนหนึ่งเป็นผู้เสนอ มีการซ้อม โดยสมาชิกทุกคนเข้าร่วม สมาชิกแต่ละคนซ้อมนำเสนอ ว่าจะเสนอส่วนสำคัญที่ใด ควรมีการกำหนดว่าจะนำเสนอส่วนใดยาวขนาดไหน มีการตรวจสอบความพร้อมของเทคโนโลยีที่จะใช้
หากมีการนำเสนอด้วยการสาธิตกิจกรรม LS ทีมงานทุกคนต้องเข้าร่วม โดยคนหนึ่งเป็นผู้สอน มีการแบ่งงานให้สมาชิกแต่ละคน คนหนึ่ง (หรือหลายคน) ทำหน้าที่ต้อนรับและนำผู้เข้าสังเกตและเรียนรู้เข้าประจำที่ รวมทั้งให้คำแนะนำข้อพึงปฏิบัติและไม่ปฏิบัติระหว่างการสาธิต ต้องมีคนรับผิดชอบจัดกระบวนการ “เสวนาและเรียนรู้” (debrief) ของทีมงาน ภายหลังการสาธิต
นำสิ่งที่ได้เรียนรู้เข้าระบบจัดเก็บ (Archive)
เป็น “การจัดเก็บ” เพื่อให้มีคนค้นพบได้ และนำไปใช้ประโยชน์ ซึ่งต้องทำหลายๆ แบบ แบบหนึ่งคือเอาขึ้นเว็บ อีกแบบหนึ่งคือตีพิมพ์ในวารสารด้านการศึกษา ต้องมีรายงานฉบับพิมพ์เป็นเล่มอยู่ในห้องสมุดโรงเรียน และอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนอื่นๆ ในเขตพื้นที่
“การจัดเก็บ” ในที่นี้จึงมีเป้าหมายเชิงเผยแพร่หรือแชร์ความรู้ที่เกิดขึ้น ครูทุกคนเป็นนักวิชาชีพ (ไม่ใช่นักเทคนิค) นักวิชาชีพต้องทำงานประจำวันเพื่อยกระดับความรู้ความสามารถของตน และของเพื่อนร่วมวิชาชีพ
สรุป
บทนี้ว่าด้วยเรื่องการรายงานการดำเนินการ LS ซึ่งที่จริงแล้วเป็นขั้นตอนหนึ่งของการเรียนรู้เป็นทีมของครู จากการดำเนินการเพื่อพัฒนางานของตน เป็นกระบวนการที่สร้างจิตวิญญาณความเป็นครู คือการที่ต้องร่วมกันเรียนรู้จากการปฏิบัติงาน และแชร์แก่เพื่อร่วมวิชาชีพ เพื่อร่วมกันจรรโลงคุณค่าของวิชาชีพ
ในบริบทไทย นี่คือวิธีการที่ช่วยเอื้อการสร้างผลงานตามแนวทาง วPA ของครู
วิจารณ์ พานิช
๒๑ ก.ย. ๖๖
สาระยาว แต่เป็นการให้เนื้อหาที่ครบถ้วนดีมากครับ ขอบคุณครับ …วิโรจน์ ครับ