มิตตวินทชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๒. มิตตวินทชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๘๒)
ว่าด้วยนายมิตตวินทะถูกจักรหินบดขยี้
(เทพบุตรโพธิสัตว์เห็นนายมิตตวินทะตกนรกจึงกล่าวว่า)
[๘๒] ท่านล่วงเลยปราสาทแก้วผลึก ปราสาทเงิน และปราสาทแก้วมณีไปแล้ว มาถูกจักรหินบดขยี้อยู่ ท่านจักไม่พ้นจากจักรหินตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่
มิตตวินทชาดกที่ ๒ จบ
-----------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา
มิตตวินทชาดก
ว่าด้วย จักรบดศีรษะ
พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุว่ายากรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ก็เรื่องของชาดกนี้เป็นเรื่องเกิดขึ้นครั้งศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า จักแจ่มแจ้งในมหามิตตวินทุกชาดก ปัญจกนิบาต
ก็ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้ ความว่า
"ท่านเลยปราสาทแก้วผลึก ปราสาทเงิน และปราสาทแก้วมณี มาแล้วมาถูกจักรกรดสำเร็จด้วยหินพัดผันอยู่ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จักไม่พ้นจากจักรกรดตราบนั้น" ดังนี้.
พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้แล้ว เสด็จไปสู่เทวสถานแห่งตนทันที.
ฝ่ายมิตตวินทุกะเล่า ก็ทูนจักรกรดไว้ เสวยทุกข์อย่างมหันต์ ครั้นบาปกรรมหมดไปแล้ว ก็ไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
มิตตวินทกะในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุว่ายากในครั้งนี้
ส่วนท้าวเทวราช ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
-----------------------------------------------------
อรรถกถา มิตตวินทุกชาดก
ว่าด้วย จักรกรดพัดบนหัว
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุว่ายากรูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
เรื่องปัจจุบันจักมีแจ้งในมหามิตตวินทุกชาดก.
ก็นายมิตตวินทุกะนี้ถูกเขาโยนทิ้งในทะเล แล้วได้ไปพบนางเวมานิกเปรตแห่งหนึ่ง ๔ นาง แห่งหนึ่ง ๘ นาง แห่งหนึ่ง ๑๖ นาง แห่งหนึ่ง ๓๒ นาง ก็ยังเป็นผู้ปรารถนายิ่งขึ้นไม่รู้จักพอ จึงเดินต่อไปข้างหน้า ได้พบอุสสุทนรกอันเป็นสถานที่เสวยวิบากของพวกสัตว์นรก จึงได้เข้าไปด้วยสำคัญว่า เป็นเมืองๆ หนึ่ง เห็นจักรกรดพัดอยู่บนหัวสัตว์นรก สำคัญว่าเป็นเครื่องประดับ จึงยินดีชอบใจจักรกรด อ้อนวอนขอได้มา.
คราวนั้น พระโพธิสัตว์เป็นเทวบุตรเที่ยวจาริกไปในอุสสุทนรก.
นายมิตตวินทุกะนั้นเห็นพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว เมื่อจะถาม จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรไว้แก่เหล่าเทวดา บาปอะไรที่ข้าพเจ้าได้กระทำไว้ จักรกรดจึงได้มากระทบศีรษะของข้าพเจ้าแล้วพัดอยู่บนกระหม่อม.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ท่านล่วงเลยปราสาทแล้วผลึก ปราสาทแก้วมณี ปราสาทเงิน และปราสาททอง แล้วมาที่นี้ เพราะเหตุอะไร.
ลำดับนั้น นายมิตตวินทุกะกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
เชิญท่านดูข้าพเจ้าผู้ถึงความฉิบหาย เพราะความสำคัญนี้ว่า โภคสมบัติในที่นี้ เห็นจะมีมากกว่าโภคสมบัติในปราสาททั้งสี่นั้น.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถาที่เหลือว่า :-
ท่านละทิ้งนางเวมานิกเปรต ๔ มาได้ นางเวมานิกเปรต ๘ ละทิ้งนางเวมานิกเปรต ๘ มาได้นางเวมานิกเปรต ๑๖ ละทิ้งนางเวมานิกเปรต ๑๖ มาได้นางเวมานิกเปรต ๓๒ ยังปรารถนายิ่งขึ้นไม่รู้จักพอ มายินดีจักรกรด จักรกรดจึงพัดอยู่บนกระหม่อมของท่านผู้ถูกความปรารถนาครอบงำ.
อันธรรมดาตัณหาเป็นสิ่งที่กว้างขวางอยู่ในเบื้องบน ให้เต็มได้ยาก มักเป็นไปตามอำนาจของความปรารถนา เพราะฉะนั้น ชนเหล่าใดมากำหนัดยินดีตัณหานั้น ชนเหล่านั้นจึงต้องเป็นผู้ทูนจักรกรดไว้.
ก็นายมิตตวินทุกะกำลังพูดอยู่นั่นแหละ จักรแม้นั้นก็พัดกดลงไป ด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่อาจจะกล่าวอีกต่อไป เทพบุตรจึงไปยังเทวสถานของตนทีเดียว.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
นายมิตตวินทุกะในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุว่ายาก
ส่วนเทพบุตรในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
---------------------
ไม่มีความเห็น