การพรรณนาประวัติของศาสดาผู้ประกาศศาสนาและให้กำเนิดศาสนานั้นย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ช่วงประสูตินั้นจะต้องปรากฏเหตุอัศจรรย์เพื่อยังความศรัทธาเลื่อมใสให้เกิดขึ้นแก่ศาสนิกชนผู้นับถือศาสนานั้น ๆ ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธศาสนา เรื่องราวเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าตอนประสูตินั้น ถ้าตีความตามหลักคำสอนเรื่องภาษาคน ภาษาธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุเราก็จะได้รับมุมมองไปอีกทัศนะหนึ่ง ในบันทึกนี้ผู้เขียนขอตีความเหตุการณ์ตอนประสูติของพระพุทธเจ้าในมุมมองของผู้ที่ศึกษามาทางด้านศาสนาและปรัชญา ซึ่งอาจจะแตกต่างจากการอธิบายของนักวิชาการที่ศึกษาและเชี่ยวชาญในด้านวิทยาศาสตร์ที่พยายามอธิบายปรากฎการณ์นี้ด้วยหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกระบุว่าพระนางสิริมหามายาได้คลอดสิทธัตถะกุมารที่สวนลุมพินีวัน หลังจากคลอดออกมาพระราชกุมารทรงเสด็จดำเนินได้ 7 ก้าวและเปล่งอาสภิวาจา (วาจาที่เปล่งด้วยความองอาจ) ซึ่งเหตุการณ์แสดงปาฏิหาริย์นี้หากเราตีความในเชิงปรัชญาหมายถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิวัติความเชื่อของสังคมที่ได้รับมาจากคัมภีร์พระเวท โดยพระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นผู้ประเสริฐสูงสุดเหนือกว่าเทพเจ้าใด ๆ อย่างที่ศาสนาพราหมณ์สั่งสอนอยู่ในสมัยนั้น
ในคัมภีร์พระไตรปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ อัจฉริยัพภูตธัมมสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า“ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์ที่ประสูติในบัดนี้ ประดิษฐานพระบาททั้งสองเสมอกันบนแผ่นดิน หันพระพักตร์ไปทางทิศอุดร เสด็จไปด้วยย่างพระบาท 7 ก้าว เมื่อเทพบุตรกั้นเศวตฉัตรตามเสด็จ พระโพธิสัตว์จะเหลียวดูทิศทั้งปวง และทรงเปล่งพระวาจาอย่างผู้องอาจว่า
“อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส
อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ.
แปลว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ ภพใหม่ของเราจะไม่มีอีก”
การตรัสของพระพุทธเจ้าในพระคาถานี้ถือว่าเป็นการประกาศอิสรภาพของมนุษย์ เนื่องจากว่าในสมัยพุทธกาลชาวชมพูทวีปมีความเชื่อว่าชีวิตขึ้นอยู่กับพระพรหม และเทพเจ้าต่าง ๆ พระพรหมได้กำหนดชะตาชีวิตมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์ต้องสยบยอมต่ออำนาจเทพเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์ก็ต้องเอาอกเอาใจเทพเจ้าให้ช่วยเหลือ ด้วยการทำพิธีบวงสรวง อ้อนวอน หรือบูชายัญ โดยมีพราหมณ์เป็นผู้ติดต่อกับเทพเจ้า เนื่องจากว่าพราหมณ์เป็นผู้รอบรู้ในพระเวท ดังนั้นพราหมณ์จึงนำความต้องการของเทพเจ้ามาบอกมนุษย์ว่าจะต้องทำพิธีบูชายัญอย่างไร ทำให้สังคมอินเดียในอดีตถึงปัจจุบันมอบความหวังไว้กับเทพเจ้าทุกอย่าง
แต่พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้โดยการกระทำ เพราะในอาสภิวาจาที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น ทรงระบุว่า “เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก” คำว่า “เรา” ในพระคาถานี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสในฐานะที่ทรงเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงหมายความว่า พระองค์ต้องการแสดงให้เห็นว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ” ฐานะของมนุษย์ในคำสอนทางพระพุทธศาสนาจึงสูงส่งกว่าเทพเจ้าหรือสัตว์และสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ เพราะมนุษย์มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์สามารถพัฒนาตนเองจนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงกระทำให้เป็นแบบอย่าง ทรงพัฒนาตนเองจนตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แม้แต่พระพรหมหรือเทพเจ้าตลอดทั้งมนุษย์ยังต้องมากราบสักการะบูชาด้วยความเคารพอย่างสูงสุด
ดังนั้นคำสอนที่พระพุทธองค์นำมาหักล้างความเชื่อในเทพเจ้าคือคำสอนเรื่องกฎแห่งกรรมนั่นเอง เราจะต้องทำเหตุเพื่อให้ผลที่เราต้องการ ซึ่งเป็นการกระทำที่คู่กับความเพียร ไม่ใช่การดลบันดาลที่คู่กับการอ้อนวอน เนื่องจากมนุษย์มีความอ่อนแอที่จะโน้มเอียงไปในทางที่จะไม่เพียรพยายาม แล้วก็หันมาพึ่งปัจจัยภายนอกมาช่วยทำให้ แต่หลักของพระพุทธศาสนาสอนให้คนต้องทำเองเพื่อจะได้พัฒนาตนเองอยู่เสมอ ดังนั้นการประสูติของพระพุทธองค์จึงถือว่าเป็นการประกาศอิสรภาพของมวลมนุษย์ด้วยการดึงจากเทพมาสู่ธรรม
นอกจากนั้น การเสด็จดำเนินได้ 7 ก้าว ของพระพุทธเจ้าตอนประสูติจากพระครรภ์พระราชมารดานั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ให้อรรถาธิบายเอาไว้ในหนังสือพุทธประวัติที่พระองค์ทรงนิพนธ์เอาไว้ว่า การเสด็จดำเนินได้ 7 ก้าวหมายถึงพระพุทธองค์สามารถเผยแผ่ประกาศพระพุทธศาสนาไปได้ 7 แว่นแคว้น คือ แคว้นสักกะ แคว้นมคธ แคว้นโกศล แคว้นวัชชี แคว้นอวันตี แคว้นกาสี แคว้นมัลละ ซึ่งเป็นการตีความตามแนวคิดแบบเหตุผลนิยม (Rationalism) ที่พระองค์ทรงไม่เห็นด้วยกับการพรรณนาพุทธประวัติที่เน้นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ดังที่ปรากฎในคัมภีร์พระปฐมสมโพธิกถา
ส่วนท่านพุทธทาสภิกขุตีความว่าการเสด็จดำเนินได้ 7 ก้าวหมายถึงหลักธรรมคือ โพชฌงค์ 7 ประการ อันได้แก่ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา อันเป็นคุณธรรมที่เป็นคุณเครื่องของการตรัสรู้ หมายความว่าบุคคลที่จะบรรลุธรรมได้นั้นจะต้องดำเนินตามหลักธรรมทั้ง 7 ประการนี้ นอกจากนั้นเรายังสามารถตีความในเชิงจิตวิทยาการศึกษาได้อีกว่า เด็กทารกที่เกิดมาตั้งแต่แรกคลอดจนถึงอายุ 7 ขวบ จะมีสภาวะจิตที่บริสุทธิ์เหมือนจิตของเจ้าชายน้อยสิทธัตถะกุมาร เปรียบประดุจกระดาษที่ขาวสะอาด เพราะทุกสิ่งที่พ่อแม่หรือคุณครูอบรมสั่งสอนจะถูกประทับไว้ที่จิตใต้สำนึกกลายมาเป็นอุปนิสัยสันดานที่ติดตัวเด็กคนนั้นไปจนตลอดชีวิต ดังนั้นช่วงชีวิตเจ็ดปีแรกของมนุษย์ที่เกิดมาจึงเป็นช่วงชีวิตที่สำคัญมากในแง่ของจิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology)
แต่ในมุมมองของนักวิชาการพระพุทธศาสนาอย่างศาสตราจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ได้อธิบายปาฏิหาริย์การเดินได้ 7 ก้าวของสิทธัตถะกุมารว่าเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ของพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีมาอย่างยาวนาน คือทรงบำเพ็ญบารมีมาตั้ง 4 อสงไขยแสนกัปป์เพื่อมาบังเกิดและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า การที่พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีมาอย่างยาวนานอย่างนี้จะแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะเป็นวิสัยของพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญเพียรมาอย่างยาวนาน ไม่ใช่วิสัยที่มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่ยังหนาไปด้วยกิเลสจะเข้าใจหรือหยั่งถึงได้ ท่านเปรียบเทียบว่าเหมือนนกที่บินไปได้ในอากาศเพราะเป็นวิสัยของนกที่สามารถทำได้เช่นนั้น ขณะเดียวกันการเดินได้ 7 ก้าวหลังการประสูติของพระโพธิสัตว์ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้เพราะเป็นวิสัยของพระโพธิสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นการแสดงปาฏิหาริย์ตามวิสัยของพระบรมมหาโพธิสัตว์เจ้า
ไม่มีความเห็น