หนังสือแปล การเมตตาตนเอง : พลังแห่งความการุณย์ต่อตนเอง แปลจาก Self-Compassion : The Proven Power of being Kind to Yourself เขียนโดย Dr. Kristin Neff, PhD ผมเขียนบทนำไว้ดังนี้
บทนำ หนังสือ การเมตตาตนเอง: พลังแห่งความการุณย์ต่อตนเอง
เมตตาแปลว่าอยากให้พ้นทุกข์ เมตตาตนเองจึงแปลว่าอยากให้ตนเองพ้นทุกข์ หนังสือ การเมตตาตนเอง จึงเป็นเรื่องของวิธีการช่วยให้ตนเองคลายความทุกข์จากเรื่องราวต่างๆ ที่ต้องเผชิญในการดำรงชีวิต
นี่คือหนังสือว่าด้วยทางสายกลางด้านอารมณ์ความรู้สึก เพื่อดึงตนเองออกจากความสุดโต่งด้านตัวตน อันเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ มองในมุมหนึ่ง เป็นการตีความและประยุกต์ใช้ศาสตร์ด้านจิตวิญญาณตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านพุทธศาสนา แก่คนในสังคมตะวันตก เพื่อการรู้เท่าทันจิตใจและอารมณ์ของตนเอง ให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของการหลงตัวเอง และไม่หลงเป็นเหยื่อของการวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง (self-criticism) หรือไม่ตกเป็นเหยื่อของอัตตา รวมทั้งยังใช้วิธีการเจริญสติ และการฝึกสมาธิภาวนา เมตตาภาวนา เป็นเครื่องมืออีกด้วย
การเมตตาตนเอง (self-compassion) เป็นวิธีผ่อนคลายความคาดหวังต่อตนเอง ช่วยลดความทุกข์ที่ตนเองสร้างใส่ตัว โดยมีเครื่องมือ ๓ ประการคือ ความกรุณาต่อตนเอง (self-kindness) ความคิดว่าเราเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ และความมีสติ
ความภูมิใจในตนเอง (self-esteem) เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องมี แต่สังคมปัจจุบันขับดันให้มนุษย์พัฒนาความภูมิใจในตนเองมากเกิน จนกลายเป็นหลงตัวเอง หลงเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น อันเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งและความทุกข์ การเมตตาตนเอง เป็นเครื่องมือสร้างสมดุล โดยดึงให้รู้สึกผูกพันกับคุณค่าในตนเอง (ซึ่งขึ้นกับความรู้จักตนเอง) มากกว่าความภูมิใจในตนเอง (ซึ่งขึ้นกับมุมมองของผู้อื่นเป็นหลัก)
การเมตตาตนเองมีรากฐานจากความเข้าใจและยอมรับธรรมชาติความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์ ตามมาด้วยกระบวนทัศน์พัฒนา (growth mindset) ที่มุ่งมั่นพัฒนาตนเอง และส่งเสริมให้ผู้อื่นได้พัฒนาตนเอง
สำหรับผม จุดสุดยอดของการอ่านหนังสือ การเมตตาตนเอง เล่มนี้ อยู่ที่บทที่ ๑๒ ที่ชี้ว่า การเมตตาตนเองช่วยให้เราใช้จิตวิทยาเชิงบวกต่อตนเอง (และต่อผู้อื่น) นำสู่เคล็ดลับของชีวิตที่ดี คือความสามารถเปลี่ยนลบเป็นบวก เปลี่ยนความทุกข์ยาก อุปสรรค หรือความล้มเหลว เป็นพลัง สู่การเรียนรู้จากความยากลำบากนั้นๆ ที่จะเป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ทรงพลัง ก่อคุณค่าต่อการดำรงชีวิตอย่างเหลือคณา
ตอนที่อ่านสนุกตื่นเต้นที่สุดในเล่มคือ ตอนที่ชื่อว่า เรื่องราวของฉัน : หนูน้อยนักขี่ม้า The Horseboy ในบทที่ ๑๒ นี้ เล่าเรื่องการเปลี่ยนลบเป็นบวก จากการที่ลูกชายเป็น ออติสซึม
ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง “สมรรถนะแห่งอนาคต” สำหรับคนในยุคปัจจุบัน ที่สังคมมีลักษณะ VUCA (V = volatile - เปลี่ยนแปลงเร็วและรุนแรง, U = uncertain - ไม่แน่นอน, C = complex - ซับซ้อน, A = ambiguous - ไม่ชัดเจน กำกวม) หรือมีลักษณะ BANI (B = brittle - เปราะบาง, A = anxious - น่ากังวล, N = non-linear - คาดเดายาก, I = incomprehensible – เข้าใจยาก) ที่หนังสือ Future Skills : The Future of Learning and Higher Education (nextskills.org/globalfutureskills) เสนอว่า คนในสมัยนี้ต้องพัฒนา future skills หรือสมรรถนะแห่งอนาคต 17 ประการ ไว้ใช้ในอนาคตที่ไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร สมรรถนะอนาคต ๑๗ ตัวนี้ จัดกลุ่มได้เป็น ๓ กลุ่ม คือ สมรรถนะเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง สมรรถนะต่อบุคคลหรือสิ่งของภายนอก และสมรรถนะต่อระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น (https://www.gotoknow.org/posts/698767) การเมตตาตนเองจัดอยู่ในกลุ่มสมรรถนะเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง (self-competence) หนังสือ การเมตตาตนเอง เล่มนี้อธิบายสมรรถนะเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองด้านการเมตตาตนเอง ในมิติที่ลึกและเชื่อมโยงยิ่ง โดยอธิบายจากงานวิจัย โดยที่การเมตตาตนเองยังเกี่ยวข้องกับสมรรถนะเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองอีกหลายตัว เช่น สมรรถนะสะท้อนคิด (reflective competence) ความมุ่งมั่นส่วนตน (self-determination) เป็นต้น
ผู้เขียน (Kristin Neff) ชี้ให้เห็นว่า การเมตตาตนเอง มีส่วนสำคัญต่อทุกด้านของชีวิต ทั้งด้านการงาน ด้านสังคม ชีวิตคู่ การเป็นพ่อแม่ และชีวิตด้านเพศสัมพันธ์ วิธีเขียนแบบเล่าเรื่องประสบการณ์ตรงของตนเอง และของคู่สมรส ช่วยให้อ่านสนุก เข้าใจง่าย ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทุกย่างก้าวของชีวิต การมีแบบฝึกหัดให้ทำ ช่วยให้แนวทางปฏิบัติหรือฝึกฝนที่เป็นรูปธรรม
เป็นการนำเอาความรู้แนวพุทธไปตีความเชิงจิตวิทยาตะวันตก เขียนเป็นหนังสือเผยแพร่แก่ชนชาวตะวันตก การที่สำนักพิมพ์ OMG Books มอบให้คุณวิภาดา ตันติโกวิท นักแปลชั้นครูแปลออกเผยแพร่แก่ชาวไทย จึงมีคุณูปการยิ่ง ช่วยให้เราได้ทำความเข้าใจธรรมะแนวพุทธจากการตีความในแง่มุมที่เราไม่คุ้นเคย ช่วยให้เราได้เข้าใจพุทธธรรมจากวาทกรรมแนวจิตวิทยาตะวันตก
ผมขอขอบคุณ นายแพทย์เนตร รามแก้ว ที่ให้เกียรติเขียนคำนิยมหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้พุทธธรรมจากมุมการตีความด้วยจิตวิทยาตะวันตกดังกล่าวแล้ว รวมทั้งได้โอกาสใคร่ครวญสะท้อนคิดเพื่อการเรียนรู้ของตนเองว่า มนุษย์เราจะผ่อนคลายความทุกข์ได้ หากเราไม่คิดถึงตัวเองเท่านั้น แต่มีความคิดเชื่อมโยงตนเองกับผู้อื่นและสรรพสิ่ง และคิดเชิงพลวัต คือไม่มองเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ อย่างหยุดนิ่ง แต่มองว่าเรื่องราวต่างๆ ย่อมเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เรื่องที่ก่อความทุกข์ก็มีธรรมชาติเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลง
ขอขอบคุณ นายแพทย์เนตร รามแก้ว และคุณวิภาดา ตันติโกวิท แทนสังคมไทย ที่ร่วมกันจัดแปลหนังสือเล่มนี้ออกสู่สังคมไทย เพื่อเอื้ออำนวยให้คนไทยรู้จักให้ความเมตตาแก่ตนเอง อันจะนำสู่ความคลายทุกข์ สู่การมีความสุขความสมดุลในชีวิต
วิจารณ์ พานิช
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕
วันคล้ายวันชาตกาลของท่านพุทธทาสภิกขุ
ไม่มีความเห็น