เว็บไซต์ McKinsey & Company ลงบทความจากการสัมภาษณ์เรื่อง A Culture of Conviction : An interview on organizational transformation with the former CEO of Societe Generale ชวนผมสะท้อนคิดสู่ภารกิจการ transform สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ที่ผมล้มเหลวไปแล้ว ๑ กรณี (๑)
Société Générale เป็นธนาคาร ซึ่งเป็นองค์กรที่คงอยู่ได้เพราะความเชื่อมั่นของสาธารณชน และเป็นธุรกิจที่ถูกกระทบจาก disruptive change รุนแรงมาก และวงจรของวิกฤติการเงินและเศรษฐกิจก็สั้นลงๆ จึงเป็นองค์กรที่บริหารยากกว่าสถาบันอุดมศึกษามาก เราจึงควรศึกษาจากเขาและนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทของอุดมศึกษา ที่ไม่หลงเชื่อในความมั่นคงโดยไม่ต้อง transform ตนเอง
บทความบอกว่า ตั้งแต่ปีวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป (และอเมริกา) ปี 2008 เป็นต้นมา ธนาคารในยุโรปเผชิญสารพัดวิกฤติเป็นระลอกๆ ได้แก่ หนี้รัฐบาล ความตึงเครียดด้านภูมิศาสตร์การเมือง technological disruption, การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์กติกา, การระบาดใหญ่, การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ, วิกฤติสงครามยูเครน และที่ยิ่งน่าวิตกคือสงครามตะวันออกกลางที่เริ่มในสัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคม
คำถามคือ ปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบต่ออุดมศึกษาโลกหรือไม่ มีส่วนกระทบมาถึงอุดมศึกษาไทยอย่างไร และเหตุการณ์ภายในของประเทศไทยเอง มีผลกระทบที่สถาบันอุดมศึกษาไทยต้องเตรียมรับมืออย่างไรบ้าง
คำถามที่ลึกเข้าไปอีก เชื่อมโยงกับการปฏิบัติงานและส่งมอบผลงานของมหาวิทยาลัย ที่ผมนึกออกได้แก่
นั่นคือ กระทรวง อว. ต้องบริหารระบบอุดมศึกษา ให้สังคมมีความเชื่อมั่นต่อวงการอุดมศึกษา โดยที่ต้องหาข้อมูลว่า ในขณะนี้สังคมมีความเชื่อมั่นในระดับใด แยกแยะเป็นกลุ่มสถาบัน และรายสถาบันได้เป็นอย่างไร
ผมมีแต่คำถาม ไม่ค่อยมีคำตอบ แต่ก็มีข้อเสนอแนะว่า ต้องมีการวิจัยเชิงระบบเพื่อตอบโจทย์ที่จะนำสู่การ transform ระบบอุดมศึกษาของประเทศ ควรจัดทีมตั้งคำถามเกี่ยวกับสถานภาพของระบบอุดมศึกษาที่พึงประสงค์ในอนาคต ที่นำสู่โจทย์วิจัยเชิงระบบ ของระบบอุดมศึกษา
อ่านจากบทความแล้ว เห็นชัดเจนว่า คุณ Frédéric Oudéa ซีอีโอของ Société Générale ใช้หลักการง่ายๆ คือต้องเผชิญมรสุมให้ได้ โดยธำรงหน้าที่รับใช้ลูกค้าเป็นอย่างดี เอาผลประโยชน์ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการเป็นหลัก หลักการง่าย แต่เวลาปฏิบัติไม่ง่าย
โดยต้องสร้างวัฒนธรรม หรือค่านิยมองค์กร ให้ยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก อันจะนำมาซึ่งความเชื่อถือ หรือเชื่อมั่นของลูกค้า เรื่องนี้ผมเรียนรู้เมื่อสี่สิบปีที่แล้วตอนเริ่มทำหน้าที่คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรในแนวทางนี้ โดยทำตัวเป็นตัวอย่างในการทำงานภายใต้ค่านิยมทำเพื่อส่วนรวม เหนือผลประโยชน์ส่วนตัว ที่ส่งผลดีต่อชีวิตส่วนตัวของผมมาจนบัดนี้
เครื่องมือที่คุณ Frédéric Oudéa ใช้ช่วยฟันฝ่ามรสุม และบริการลูกค้าอย่างดีคือ เทคโนโลยี ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยฝ่ายบริหารต้องยึดมั่นในการเปลี่ยนขาดระยะยาว (long-term transformation) และในขณะเดียวกันก็มีการปรับตัวอย่างยืดหยุ่นตามสถานการณ์ด้วย ที่เขาเรียกว่า tactical agility
เขาใช้คำว่า conviction ต่อเป้าหมายการเปลี่ยนขาดระยะยาว โดยเชื่อว่าเทคโนโลยีจะเป็นทั้ง ความท้าทายและโอกาสของธนาคารในการสนองลูกค้า ไปพร้อมๆ กันกับเปลี่ยนขาดตนเอง
อ่านคำถามและคำตอบในการสัมภาษณ์แล้ว ผมคิดว่าความยิ่งใหญ่ของคุณ Frédéric Oudéa คือความสามารถในการเรียนรู้จากประสบการณ์ และสิ่งที่จ้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาคือ วิธีค้นพบและจัดการแก้ปัญหา ผมจึงมีข้อสะท้อนคิดสู่การเปลี่ยนขาดระบบอุดมศึกษาไทยว่า ต้องออกแบบให้เป็นระบบที่เรียนรู้ มีการกำหนดเป้าหมายของการเปลี่ยนขาดระยะยาว พร้อมๆ ไปกับมีเงื่อนไขที่เอื้อให้ปรับตัวได้เร็วตามสถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้น
ขอเชิญชวนให้ผู้บริหารทั้งหลายอ่านบทความนี้นะครับ ให้หลักการเชิงปรัชญาเชื่อมปัญญาปฏิบัติของผู้บริหารได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะที่ท่านบอกว่าสภาพจริงที่เกิดขึ้นมีทั้งส่วนที่ตรงกับที่คาดไว้ และส่วนที่ไม่ตรง ส่วนที่ไม่ตรงและเป็นความท้าทายรุนแรงด้วยก็จะเป็นแบบฝึกหัดให้ฟันฝ่า ในที่สุดแล้วจะให้ข้อเรียนรู้สูงยิ่ง องค์กรที่ทีมงานมีสปิริตที่จะฟันฝ่าร่วมกัน มีความเชื่อมั่นต่อกันและกัน จะก้าวข้ามวิกฤติได้เสมอ
ข้อเรียนรู้สำคัญจากบทความคือ ผู้บริหารสูงสุดต้องเอาใจใส่เรื่องคน เรื่องระบบพัฒนาคน ที่ไม่แค่พัฒนาเชิงเทคนิคเท่านั้น ต้องมีการพัฒนาความเป็นทีม พัฒนาสปิริตความเป็นทีม และพัฒนาความเป็นผู้นำการเปลี่ยนขาดของทีมงานด้วย
ข้อเรียนรู้นี้ เอามาใช้ในระบบอุดมศึกษาอย่างไร ผมไม่มีคำตอบ มีแต่คำถาม
วิจารณ์ พานิช
๑๖ ต.ค. ๖๖
ไม่มีความเห็น