บ่ายวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ ศ.นพ. ศุภสิทธิ์ พรรณารุโณทัย ชวนผมไปร่วมประชุมเรื่อง แนวทางพัฒนาระบบหลักประกันสิทธิโอกาสทางสังคม ที่ กสศ. ช่วยให้ผมสะท้อนคิดสู่บันทึกนี้
UHC = Universal Health Coverage คุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า
USP = Universal Social Protection ปกป้องทางสังคมถ้วนหน้า
ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องใหญ่มากทางสังคม คุณหมอศุภสิทธิ์ มีส่วนทำวิจัยเมื่อสามสิบปีที่แล้ว หนุนการเกิดระบบ UHC อันโด่งดังของไทย ตอนนี้ตั้ง มูลนิธิศูนย์วิจัยและติดตามความเป็นธรรมทางสุขภาพ และหันมาชวนนักวิจัยรุ่นศิษย์ ทำงานวิจัยเพื่อความเป็นธรรมทางสังคม น่าสรรเสริญยิ่งนัก
ผลงานที่เอามาเสนอเป็นการพัฒนาระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินทางสังคม และการเชื่อมต่อข้อมูลของหน่วยงาน โดย App แจ้งเหตุทาง Line สองชิ้น คือ พม. SMART กับ ESS ให้ อพม. (อาสาสมัครพัฒนาสังคมละความมั่นคงของมนุษย์) ที่มีอยู่กว่า ๓ แสนคนทั่วประเทศ ใช้โทรศัพท์มือถือแจ้งข่าว เข้าไปยังระบบข้อมูลที่ใช้ง่ายเพื่อให้รายงานว่า เหตุที่เกิดอยู่ในกลุ่มใดใน ๕ กลุ่ม แล้วระบบข้อมูลจะแจ้งไปยังตำรวจและ พม. จังหวัด มีการทดลองใช้แล้วในจังหวักพิษณุโลก
ข้อแนะนำในที่ประชุมที่สำคัญที่สุดคือ ควรพัฒนา ๒ ระบบให้เกิดการทำงานเสริมกัน คือระบบสร้างเสริมการปกป้องทางสังคม ที่เทียบได้กับ สสส. ด้านสังคม กับงานด้านแก้ปัญหาอย่างที่นำเสนอ คือมีทั้งระบบงานเชิงรุกและเชิงรับ
งาน UHC ของไทย มีพัฒนาการก้าวหน้าสุดๆ ตรงที่มีการแยกระหว่าง purchaser กับ provider ที่ นพ. ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานต์ เสนอว่า ระบบ USP ก็ควรเดินในเส้นทางเดียวกัน
นพ. สมศักดิ์ ชุณหะรัศมิ์ เสนอเรื่อง community-based intervention นำสู่แนวคิดว่า พมจ. ควรทำหน้าที่ provincial manager ของจังหวัด ไม่ใช่ provider โดยแต่ละจังหวัดควรพัฒนา provider ขึ้นมา โดยอาจเป็นมูลนิธิ (เอ็นจีโอ) หรือเป็นบริษัทที่เป็น social enterprise มีการวิจัย classification ของปัญหา และค่าบริการ และเงินช่วยเหลือผู้ประสบปัญหา ที่รัฐจ่าย
Essential service เป็นอีกหลักการหนึ่งที่ นพ. สมศักดิ์ เสนอ เลียนมาจาก essential drug list และบริการที่อยู่ในรายการของระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า เป็นอีกโจทย์วิจัยเพื่อนำไปใช้พัฒนาระบบปกป้องทางสังคมถ้วนหน้า (ปคถ. - ผมตั้งเอง)
งานเชิงรุกของระบบปกป้องทางสังคมถ้วนหน้า ต้องเลยจากตัวเด็ก ไปสู่ครอบครัว และชุมชน และต้องเน้นการ empower ให้มีการช่วยตัวเอง และช่วยกันเองในชุมชนเป็นหลัก ควรหลีกเลี่ยงการช่วยเหลือแบบวัฒนธรรมอุปถัมภ์ หลีกเลี่ยงการช่วยเหลือเพื่อเอาผลงาน CSR หรือเพื่อสร้างภาพลักษณ์ เพราะจะเป็นการบ่อนทำลายคนด้อยโอกาสทางสังคม ไม่ให้มีโอการพัฒนาตนเองให้หลุดจากวงจรความยากจน ความด้อยโอกาส
ผมชอบแนวคิดค้นหา resilient case (กรณีที่ปรับตัวได้) ที่อาจเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ได้ ที่ฟันฝ่าเอาชนะความยากลำบากหรือปัญหาทางสังคมของตนเองได้ อาจโดยตนเอง หรือมีคนเข้าไปช่วยเหลือ ให้ในที่สุดมีความสามารถพึ่งตนเองได้ เอาเรื่องราวของคนเหล่านั้นมาเป็นพลัง empower คนที่กำลังเผชิญปัญหา ให้มีพลังกายพลังใจลุกขึ้นมาต่อสู้ โดยมีระบบช่วยเกื้อหนุน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์วิจัย
วิจารณ์ พานิช
๕ ส.ค. ๖๖
ไม่มีความเห็น