หลายเดือนก่อนผมเขียนเกี่ยวกับคุณธรรมและกรณีศึกษาคุณธรรมไว้หลายเรื่องเพื่อเป็นเอกสารประกอบการศึกษาของนักศึกษาที่ผมสอนและผู้สนใจทั่วไป
วันนี้ต้องเขียนเรื่องนี้อีกครั้งแต่ในมิติของตัวชี้วัดคนดีของสังคมครับ
บ่อยครั้งที่มีการกล่าวถึงคนดี มักจะมีการอ้างคุณธรรมเป็นเครื่องหมายรับรองว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นคนดีของสังคม แต่บ่อยครั้งจะใช้เกณฑ์คุณธรรมตามใจ มากกว่าตามเกณฑ์ ซึ่งถ้าใช้เกณฑ์เป็นตัวชี้วัดระดับคุณธรรมก็ยังดีกว่าเกณฑ์ตามใจ แม้ว่าจะยังไม่ดีเท่าเกณฑ์คุณธรรมสากลครับ
คุณธรรมตามใจ หมายถึงการพฤติกรรมหรือการกระทำที่ตนเองชอบ หรือเห็นว่าดีเป็นตัวชี้วัดระดับคุณธรรมของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ตนเรียก หรือยกย่องว่าเป็นคนมีคุณธรรม และเป็นคนดี
คุณธรรมตามเกณฑ์ หมายถึงพฤติกรรมหรือการกระทำที่เป็นไปตามกติกา จรรยาบรรณ (ประมวลจริยธรรม) กฎหมาย หรือแนวปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งใครก็ตามทำได้ตามนั้นเราก็จะบอกว่าเขาเป็นคนมีคุณธรรม และเป็นคนดี
คุณธรรมสากล หมายถึงพฤติกรรมหรือการกระทำที่ดีงามของบุคคลหรือกล่ัุ่มบุคคลที่สะท้อนหรือแสดงให้เห็นว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเหล่านั้นสามารถแยกแยะถูก-ผิด ดี-ชั่ว หรือควร-ไม่ควร ได้อย่างสมเหตุสมผล และคนส่วนใหญ่ในสังคมยอรับได้ ก็จะเป็นผู้คุณธรรมสากล
Kolberg (อ้างในสมาน อัศวภูมิ, 2553 :ศาสตร์การศึกษาและความเป็นครู) เสนอการให้เหตุผลทางคุณธรรมไว้ 6 ระดับดังนี้
(1) การใช้กติกาและการลงโทษเป็นฐาน (2) การใช้เหตุผลและความจำเป็นเป็นฐาน (3) การใช้ความคาดหวังของผู้เกี่ยวข้องเป็นฐาน (4) การใช้ความถูกต้องของสังคมเป็นฐาน (5) การใช้อุดมการณ์ของสังคมเป็นฐาน และ (6) การใช้หลักสากลเป็นฐาน
ถ้าเราใช้หลักทั้งหกที่กล่าวมานี้เป็นฐานในการแยกระดับคุณธรรมแล้ว คุณธรรมตามใจนั้นไม่เข้าเกณฑ์ระดับใดระดับหนึ่งเลย จึงน่าจะเป็นคุณธรรมที่ต่ำกว่าระดับที่ 1 เสียด้วยซ้ำ แต่คนบางคนหรือบางกลุ่มในบางประเทศ ซึ่งน่าจะรวมถึงประเทศไทยของเราด้วยที่ใช้เกณฑ์คุณธรรมตามใจเป็นเกณฑ์ในการตัดสินคนดีของสังคม และด้อยค่าคุณที่ใช้เกณฑ์ระดับที่ 4 หรือ 5 หรือ 6 ในการตัดสินว่าใครเป็นคนมีคุณธรรมและเป็นคนดีของสังคม ที่แย่กว่านี้คือการที่คนส่วนน้อยเหล่านั้นมีอำนาจในบริหาร หรือสนับสนุนการบริหารประเทศด้วยแล้วก็เป็นกรรมของประเทศและคนในชาติ
ดังนั้นการบอนไซและขจัดความไม่ถูกต้องเหล่านี้น่าจะทำได้โดยการเลิกให้ความสำคัญ เลิกให้ยอรับนับถือ และโดดเดียวทางสังคมเสีย แล้วปล่อยให้กาลเวลาเป็นกลไกแก้ไขปัญหาด้วยตัวมันเองต่อไปครับ นี่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการแก้ปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่อยากแก้ปัญหา แต่ไม่มีอำนาจและกลไกอื่นในการแก้ปัญหา
ส่วนปัจจัยของการใช้กาลเวลาในการแก้ปัญหาคือ ‘ความอึด’ ทั้งความมั่นคงในเป้าหมาย และความสามัคคีในการร่วมกันแก้ปัญหาครับ
แล้วหนทางจะพิสูจน์ม้า และกาลเวลาจะพิสูจน์ความาจริงกันต่อไป ว่าอะไรคือของจริงและของเก้ครับ
โชคดีครับ ประเทศไทย
สมาน อัศวภูมิ
30 กรกฎาคม 2566
ชอบครับ “ความสามัคคีในการร่วมกันแก้ปัญหา”