พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก
ตอนที่ ๑๑ ขทิรวนิยเรวตเถราปทาน
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
๙. ขทิรวนิยเรวตเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระขทิรวนิยเรวตเถระ
เกริ่นนำ
พระมุนีผู้มีพระปัญญามาก ทรงถึงที่สุดแห่งโลก (คือถึงความสิ้นทุกข์) ได้ทอดพระเนตรเห็นข้าพเจ้าผู้ยินดีในป่า จึงทรงตั้งข้าพเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร
(พระขทิรวนิยเรวตเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖๒๘] แม่น้ำภาคีรถี ไหลมาจากภูเขาหิมพานต์ ข้าพเจ้าเกิดเป็นนายเรือ อยู่ที่ท่าน้ำไม่ราบเรียบ พาคนส่งข้ามฟากจากฝั่งโน้นมาฝั่งนี้
[๖๒๙] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงเป็นผู้นำ ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พร้อมกับพระขีณาสพ ๑๐๐,๐๐๐ รูป ผู้ได้วสี จักข้ามกระแสแม่น้ำคงคา
[๖๓๐] ข้าพเจ้าได้นำเรือมาจอดรวมกันไว้จำนวนมาก แล้วจัดประทุนที่นายช่างประกอบอย่างดีไว้บนเรือ ต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้องอาจกว่านรชน
[๖๓๑] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ศาสดาได้เสด็จมาขึ้นเรือนั้นแล้ว ประทับอยู่ท่ามกลางน้ำ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๖๓๒] นายเรือที่ได้พาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสงฆ์ผู้ไม่มีอาสวะส่งข้ามฟาก จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น
[๖๓๓] วิมานที่บุญกรรมตกแต่งไว้อย่างดี มีสัณฐานดุจเรือ จักเกิดขึ้นแก่ท่าน จักมีหลังคาดอกไม้กั้นอยู่ในอากาศทุกเมื่อ
[๖๓๔] ในกัปที่ ๕๘ นายเรือผู้นี้ จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าตารณะ เป็นใหญ่ มีชัยชนะในทวีปทั้ง ๔
[๖๓๕] ในกัปที่ ๕๗ (นับจากกัปนี้ไป) จักเกิดเป็นกษัตริย์พระนามว่าจัมพกะ มีพลานุภาพมาก จักรุ่งเรืองดังดวงอาทิตย์อุทัย
[๖๓๖] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป) พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๖๓๗] นายเรือผู้นี้จุติจากสวรรค์ชั้นไตรทิพย์แล้วจักไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นบุตรของพราหมณ์มีนามว่าเรวตะ ตามโคตร
[๖๓๘] เขาถูกกุศลมูลตักเตือนแล้ว จักออกจากเรือนไปบวชในศาสนา ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม
[๖๓๙] หลังจากบวชแล้ว เขาจักประกอบความเพียร เจริญวิปัสสนา กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[๖๔๐] ข้าพเจ้ามีความเพียรสำหรับนำพาธุระ เป็นความเพียรที่นำมาซึ่งธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะ ข้าพเจ้าทรงร่างกายซึ่งมีในภพสุดท้าย อยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๖๔๑] กรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ใน ๑๐๐,๐๐๐ กัป แสดงผลแก่ข้าพเจ้าแล้วในอัตภาพสุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าหลุดพ้นดีแล้วดุจความเร็วแห่งลูกศรพ้นไปจากแล่ง เผากิเลสทั้งหลายได้แล้ว
[๖๔๒] แต่นั้น พระมุนีผู้มีพระปัญญามาก ทรงถึงที่สุดแห่งโลก (คือถึงความสิ้นทุกข์) ได้ทอดพระเนตรเห็นข้าพเจ้าผู้ยินดีในป่า จึงทรงตั้งข้าพเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร
[๖๔๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระขทิรวนิยเรวตเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ขทิรวนิยเรวตเถราปทานที่ ๙ จบ
-----------------------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนี้นำมาจากบางส่วนของอรรถกถา ขุททกนิกายอปทาน ภาค ๑
เถราปทาน ๑. พุทธวรรค
พรรณนาขทิรวนิยเรวตเถราปทาน
แม้พระเถระนี้ ก็ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ก่อสร้างบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแก่วิวัฏฏะไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ได้บังเกิดในตระกูลของนายท่าเรือในนครหังสวดี กระทำการงานอยู่ที่ท่าเรือชื่อว่าปยาคติตถะ ใกล้แม่น้ำใหญ่.
วันหนึ่ง ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยหมู่สาวก เสด็จเข้าไปยังฝั่งแม่น้ำ มีใจเลื่อมใส จึงประกอบเรือขนาน ส่งให้ถึงฝั่งอื่นด้วยบูชาสักการะอันยิ่งใหญ่ ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งที่พระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเลิศแห่งภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ป่า จึงปรารถนาฐานันดรนั้น ได้ยังมหาทานให้เป็นไปแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ แล้วกระทำความปรารถนาไว้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ความปรารถนาของเขาไม่เป็นหมัน.
จำเดิมแต่นั้น เขาสั่งสมบุญทั้งหลาย ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เสวยสมบัติทั้งสองอยู่ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในครรภ์ของพราหมณีชื่อว่า รูปสารี ในบ้านนาลกะแคว้นมคธ.
เขาเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาประสงค์จะตกแต่งให้มีเหย้าเรือน จึงบอกเขา. เขาได้ฟังว่าพระสารีบุตรเถระบวชแล้ว จึงคิดว่า อุปติสสะผู้เป็นพี่ชายใหญ่ของเรา ละทิ้งทรัพย์สมบัตินี้บวชแล้ว เราจักเสวยก้อนเขฬะที่พี่ชายใหญ่นั้นบ้วนแล้วได้อย่างไร เกิดความสลดใจ ลวงญาติทั้งหลายประดุจเนื้อไม่เข้าไปสู่บ่วง ผู้อันเหตุสมบัติตักเตือนอยู่ จึงไปยังสำนักของภิกษุทั้งหลาย แล้วแจ้งให้ทราบว่าตนเป็นน้องชายของพระธรรมเสนาบดี แล้วบอกถึงความพอใจในการบรรพชาของตน.
ภิกษุทั้งหลายจึงให้เขาบรรพชาพอมีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ก็ให้อุปสมบท แล้วชักชวนให้ขวนขวายในกรรมฐาน. ท่านเรียนกรรมฐานแล้ว เข้าไปยังป่าไม้ตะเคียนพักผ่อนอยู่ เพียรพยายามอยู่ เพราะเป็นผู้ถึงความแก่กล้าแห่งญาณ ไม่นานนักก็ได้เป็นพระอรหันต์มีอภิญญา ๖.
ครั้นท่านได้เป็นพระอรหันต์แล้ว เพื่อจะถวายบังคมพระศาสดาและไหว้พระธรรมเสนาบดี จึงเก็บงำเสนาสนะแล้วถือบาตรจีวรออกไป ถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับ จึงเข้าไปยังพระเชตวัน ถวายบังคมพระศาสดาและไหว้พระธรรมเสนาบดีแล้ว อยู่ในพระเชตวัน ๒-๓ วัน.
ลำดับนั้น พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้า ทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเลิศแห่งภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรวตะนี้เป็นเลิศแห่งภิกษุสาวกทั้งหลายของเราผู้อยู่ป่าเป็นวัตร.
พระเถระครั้นได้ตำแหน่งเอตทัคคะอย่างนี้แล้ว ระลึกถึงบุพกรรมของตน เมื่อจะประกาศอปทานแห่งความประพฤติในกาลก่อนของตนด้วยอำนาจความปีติโสมนัส.
จบพรรณนาขทิรวนิยเรวตเถราปทาน
----------------------------------
ไม่มีความเห็น