สรุปง่ายๆ ใน 5 นาที ค่า t-score คืออะไร? คำนวณอย่างไร? TGAT/TPATและคะแนน A-level ปี 2566 ต้องอ่านค่ะ


สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องของค่าสถิติค่าหนึ่งที่เรียกว่า t-score ซึ่งในช่วงนี้จะเห็นหน้าเว็บกับคำว่า t-score มากมายในช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยแบบ Admission หรือ TCAS จะมีเกณฑ์คัดเลือกใช้ T-Score หรือผลคะแนน TGAT/TPATและคะแนน A-level ประจำปี 2566 ก็ใช้ค่าคะแนนมาตรฐานที หรือที่เพิ่งผ่านมาคือ ค่า t-score กับคะแนนโอเน็ต (o-net) ประจำปี 2566 เปรียบเทียบระดับคะแนนในระดับโรงเรียนระดับภาคและระดับประเทศ

ให้ลองนึกภาพคุณและเพื่อนของคุณเพิ่งสอบที่โรงเรียน ครูให้คะแนนของนักเรียนที่เข้าสอบทั้งหมดออกมาเพื่อดูว่าคุณๆ ทำได้ดีแค่ไหน แต่มันก็ยากที่จะบอกว่าใครทำได้ดีหรือไม่ดีเพียงแค่ดูที่คะแนนดิบ

ในกรณีนี้ ค่า t-score หรือคะแนนมาตรฐานที จะสามารถช่วยคุณได้ ค่า t-score  เป็นตัวเลขพิเศษที่ช่วยให้เราเข้าใจว่าคะแนนสอบของคนแต่ละคนว่าดีเพียงใดเมื่อเทียบกับคะแนนเฉลี่ยของทั้งชั้นเรียน นั่นคือ เราจะดูว่าคะแนนของแต่ละคนดีขึ้นหรือแย่ลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย

ประโยชน์ของ ค่า t-score

ค่า t-score คำนึงถึงสองสิ่งที่สำคัญ คือ หนึ่ง ความแตกต่างระหว่างคะแนนของบุคคลและคะแนนเฉลี่ยของชั้นเรียน และสองคือคะแนนในชั้นเรียนที่กระจายออกไป เมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งสองนี้ ค่า t-score จะทำให้เราเข้าใจได้ดีขึ้นว่าคะแนนสอบของบุคคลนั้นผิดปกติหรือพิเศษเพียงใด

การแปลผลค่า t-score

สมมุติว่าเราทราบคะแนนเฉลี่ยของชั้นเรียนของคุณในการทำการสอบ เราสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อหาว่าคะแนนของเพื่อนแต่ละคนห่างไปกี่คะแนนจากค่าเฉลี่ย ถ้าคะแนน t สูง หมายความว่าบุคคลนั้นทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยมาก ในขณะที่คะแนน t ต่ำกว่า หมายความว่าพวกเขาทำได้แย่กว่า

และบางครั้ง t-score อาจเป็นจำนวนบวก และบางครั้งอาจเป็นจำนวนลบ คะแนน t เป็นบวก หมายความว่าคะแนนสอบของบุคคลนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของชั้นเรียน ในขณะที่คะแนน t เป็นลบ หมายความว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ยิ่งค่า t-score มากเท่าไร คะแนนสอบของบุคคลนั้นก็จะแตกต่างจากค่าเฉลี่ยมากเท่านั้น

ค่า t-score  เป็นบวก: 

หากเพื่อนมีค่า t-score  เป็นบวก แสดงว่าคะแนนเขาสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ยิ่งค่า t-score บวกสูงเท่าใด ประสิทธิภาพของเขาก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้นเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย และปกติค่า t-score มีค่าสูงสุดไม่เกิน 100 แต่ถ้ามีคนสอบได้คะแนนดีมากๆ ท่ามกลางคนสอบสอนใหญ่ที่ได้คะแนนต่ำมากๆ ค่า t-score อาจเกิน 100 ก็ได้ เช่น ค่า t-score ในการสอบโอเน็ต o-net เกิน 100 มีเยอะเลย

ค่า t-score  ติดลบ: 

หากเพื่อนมีค่า t-score ติดลบ แสดงว่าผลงานของเขาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ยิ่งค่า t-score ติดลบต่ำ แสดงว่าผลงานของพวกเขาแย่ลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย

การเปรียบเทียบค่า t-score 

t-score ที่ 50 คือค่าเฉลี่ย และทุกๆ 10 คะแนนจาก 50 คะแนนจะแทนค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1 ค่า ดังนั้น ค่า T-score 60 หมายความว่าเรามีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสูงกว่าค่าเฉลี่ย 1 ค่า ในขณะที่ค่า T-score 40 หมายความว่าเรามีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 1 ค่า

ค่า t-score เทียบกันได้ในวิชาต่างกัน

นอกจากนี้ แม้ว่าการทดสอบจะแตกต่างกัน เช่น การทดสอบคณิตศาสตร์ การทดสอบการอ่าน หรือการทดสอบวิทยาศาสตร์ คะแนน t ยังสามารถเปรียบเทียบได้เนื่องจากทั้งหมดใช้มาตราส่วนแบบเดียวกัน และไม่มีหน่วย

การคำนวณค่า t-score

ในการคำนวณ t-score เราต้องการข้อมูลสามส่วน คือ 1. คะแนนสอบของบุคคลนั้น 2. คะแนนสอบเฉลี่ยของชั้นเรียน และ 3. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของชั้นเรียน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็นตัววัดว่าคะแนนสอบในชั้นเรียนกระจายออกไปมากน้อยเพียงใด ช่วยให้เราเข้าใจว่าคะแนนสอบแตกต่างจากค่าเฉลี่ยอย่างไร ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสูง หมายความว่า ข้อมูลชุดนั้นมีการกระจายมากคะแนนไม่เกาะกลุ่มกัน คะแนนสอบต่างกันมาก แต่ถ้าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานน้อย ข้อมูลที่ได้มีค่าใกล้เคียงกันนั่นเอง

เมื่อเรามีข้อมูลทั้งหมดนี้แล้ว เราก็สามารถใช้สูตรพิเศษในการหาค่า t-score ได้ สูตรคือ: (คะแนนการทดสอบของบุคคล - คะแนนการทดสอบเฉลี่ย) หารด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นี่จะทำให้เราได้คะแนน t ซึ่งบอกเราว่าคะแนนสอบของบุคคลนั้นแตกต่างจากค่าเฉลี่ยของชั้นเรียนอย่างไร

ในท้ายที่สุด t-score ช่วยให้เราเห็นว่าคะแนนสอบของบางคนพิเศษหรือแตกต่างอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ในชั้นเรียน การเปรียบเทียบค่า t-score ทำให้เราเข้าใจได้ดีขึ้นว่าใครทำข้อสอบได้ดีจริงๆ และใครบ้างที่อาจต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม

 

หมายเลขบันทึก: 712335เขียนเมื่อ 15 เมษายน 2023 11:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม 2023 17:24 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

Yes, t-score is useful in some ways for individuals but not so much for education as a whole. For example: a high performer in a class of below (national) average (large sd) performance should be a giant among elves (but t-score is low), and in a class of high (national) average (small sd), should only be another one among peers (but t-score is high).

The overall performance of the class (as a result of learning as a team) is a major factor in school and in latter life (as having high performance friends/connections is a major factor for success in life). Perhaps even more so than high t-score.

ขอบคุณมากค่ะอาจารย์ SR ส่วนตัวแล้วคิดว่าคะแนนมาตรฐานอย่าง t-score สำคัญมากในสังคมการสอบแข่งขันอย่างประเทศไทยเราค่ะอาจารย์

มันเป็นวิธีประเมินผลการสอบของนักเรียนที่ยุติธรรม การรับเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย การกำหนดนโยบายและปฏิรูปการศึกษา การให้ทุนการศึกษา การจัดสรรทรัพยากร ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ คะแนนมาตรฐานจะทำให้ครู โรงเรียน และผู้บริหารโรงเรียนมีความรับผิดชอบต่อผลการเรียนรู้ของนักเรียนค่ะ

In your context วิธีประเมินผลการสอบของนักเรียนที่ยุติธรรม การรับเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย การกำหนดนโยบายและปฏิรูปการศึกษา การให้ทุนการศึกษา t-score would be based on ‘national’ average and national standard deviation (from the high-school exam). We know certain high schools have ‘unfair’ advantages over ‘poor and rural’ schools. So, we are tacitly supporting inequality by a measure instead of the constitutional goal.

จริงค่ะ สังคมแห่งการแข่งขันและเปรียบเทียบที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ความเหลื่อมล้ำก็มากขึ้นเรื่อยๆ น่าสงสารค่ะ

…ตีความและตั้งเป้า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง https://www.gotoknow.org/posts/712353 told by Prof Vicharn Vanich has more substance than my comment and clearly shows the essence of C21 education (we like to see).

Ooops. My mistake. I typed Prof Vicharn Panich wrong. Please accept my apology.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท