ตำนานพระแก้วมรกต"


“ตำนานพระแก้วมรกต” (ที่คนไทยหลายๆคนยังไม่รู้)

ตำนานพระแก้วมรกต (ที่คนไทยหลายๆคนยังไม่รู้)

  “ประวัติ”

    "พระพุทธมหามณีรัตนปฎิมากร หรือ'พระแก้วมรกต 'นั้น มีตำนานที่ควรเชื่อถือได้คือ ถูกค้นพบครั้งแรกที่ วัดป่าเยี๊ยะ (ปัจจุบันคือวัดพระแก้ว จ.เชียงราย) ในปี พ.ศ.1977 หรือเมื่อเกือบหกร้อยปีที่แล้ว 'พระแก้วมรกต' ถูกซ่อนอยู่ภายในเจดีย์ขนาดใหญ่ เมื่อเจดีย์องค์นั้นถูกฟ้าผ่าจนยอดหักลง ก็มีพระสงฆ์รูปหนึ่งพบพระพุทธรูปปิดทองซ่อนอยู่ภายในเจดีย์ปูนที่ถูกฟ้าผ่า พระในวัดนั้นคิดว่าเป็นเพียงแค่พระพุทธรูปที่สร้างจากหินธรรมดาทั่วไป จึงได้นำ'พระแก้วมรกต'มาประดิษฐานไว้ภายในวิหาร เรียงรายคู่กับพระพุทธรูปองค์อื่นๆ สองสามเดือนต่อมา ปูนที่ฉาบบริเวณปลายพระนาสิก (จมูก) ของ'พระแก้วมรกต' หลุดออกมา เจ้าอาวาสจึงสังเกตเห็นว่าแท้ที่จริงแล้วภายในเป็นพระพุทธรูปซึ่งแกะสลักจากหินสีเขียวงดงาม ดังนั้น เจ้าอาวาสจึงกะเทาะปูนทั้งหมดที่ฉาบทับอยู่ จึงเป็นที่ปรากฏต่อทุกสายตาว่าแท้ที่จริงพระพุทธรูปองค์นี้แกะสลักจากหยกเขียวบริสุทธิ์เพียงชิ้นเดียวทั้งองค์ ขนาดหน้าตักกว้าง 48 ซม. ความสูงจากฐานถึงพระเศียร 66 ซม. 

วัดป่าเยี๊ยะ (ปัจจุบันคือวัดพระแก้ว จ.เชียงราย)

   -พระแก้วมรกต'ถูกสร้างมาโดยใครและเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่การถูกซ่อนไว้ในปูนและพระเจดีย์อีกทีหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่า ในพระพุทธศาสนา กล่าวไว้ว่าศาสนาพระพุทธ จะมีอายุอยู่เพียง 5,000 ปี ดังนั้น หลังจากหมดยุคนี้ไป การค้นพบ'พระแก้วมรกต'ในอนาคตจะทำให้ศาสนารุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้เริ่มสงสัยกันแล้วใช่มั้ยครับว่า  พระพุทธรูปทำมาจากหยก แล้วทำไมเรียกมรกต? ผมก็เคยสงสัยแบบนี้เหมือนกัน และผมก็ได้ถามท่านอาจารย์ 'คุณชาย' คำตอบง่ายๆก็คือ เพราะหยกที่สีเขียวเหมือนมรกต และอาจเป็นเพราะคนท้องถิ่นในสมัยนั้น เมื่อเห็นว่าเป็นหินสีเขียว จึงสัญนิษฐานว่าเป็นมรกต 

   -เรื่องราวของ'พระแก้วมรกต' ถูกคนเผยแพร่ออกอย่างกว้างขวาง ทำให้ชาวบ้าน และผู้คนมากมายอยากเข้าไปกราบไหว้สักการะ สักครั้งหนึ่งในชีวิตเพื่อเป็นศิริมงคล 

   -จนกระทั่งในปี พ.ศ.1979 เจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่ขณะนั้น พระเจ้าสามฝั่งแกน ได้จัดขบวนช้างไปอันเชิญ'พระแก้วมรกต'เพื่อมายังเมืองเชียงใหม่ 

  -แต่ระหว่างทาง ช้างที่อัญเชิญ เกิดตระหนกตกใจ วิ่งไปยังเมืองลำปาง ไม่ยอมมายังเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าสามฝั่งแกน ส่งช้างตัวใหม่ไป ผลกลับเป็นเช่นเดิม คือช้างที่อัญเชิญ จะเดินไปทางลำปางอย่างเดียว พระเจ้าสามฝั่งแกน ผู้เชื่อเรื่องพลังเหนือธรรมชาติ จึงทรงคิดว่า 'พระแก้วมรกต'คงมีความประสงค์ที่จะอยู่เมืองลำปาง และเมืองลำปางก็ไม่ห่างจากเชียงใหม่มาก จึงให้'พระแก้วมรกต'ประดิษฐานที่เมืองลำปาง โดยชาวลำปางต่างบริจาคเงินเพื่อสร้างวัดพระแก้วขึ้น (ปัจจุบันคือวัดพระแก้วดอนเต้า) 

(วัดพระแก้วดอนเต้า) 
   "พระแก้วมรกต' ประดิษฐานอยู่ลำปางเป็นเวลากว่า 32 ปี จนถึงปี พ.ศ. 2011 เจ้าเมืองเชียงใหม่ พระองค์ใหม่คือ พระเจ้าติโลกราช (พระโอรสลำดับที่ 6 ของพระเจ้าสามฝั่งแกน) เมือขึ้นครองเมืองแล้ว จึงมีความประสงค์ที่จะอัญเชิญ 'พระแก้วมรกต'ให้มาอยู่ที่เชียงใหม่ จึงส่งขบวนช้างไปอัญเชิญ'พระแก้วมรกต'เพื่อมายังเมืองเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง และในครั้งนี้ 'พระแก้วมรกต'ย้ายมาประดิษฐานไว้ที่ซุ้มจระนำด้านตะวันออกของพระเจดีย์ ภายในวัดเจดีย์หลวง ในเมืองเชียงใหม่ แต่นานๆทีจะอัญเชิญออกมาให้ประชาชนกราบไหว้สักการะ และอยู่ที่เชียงใหม่นานถึง 84 ปี 

 ( ซุ้มจระนำด้านตะวันออกของพระเจดีย์ ภายในวัดเจดีย์หลวง ในเมืองเชียงใหม่)

-ต่อมาในสมัยของ พระเมืองเกษเกล้า เจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่ มีธิดาอยู่องค์หนึ่งชื่อพระนางยอดคำทิพย์ (ประสูติแต่พระนางจิรประภาเทวี พระอัครมเหสี) ได้ส่งธิดาของพระองค์ไปสมรสกับเจ้าเมืองหลวงพระบาง คือพระเจ้าโพธิสาลราช ซึ่งต่อมาเจ้าเมืองหลวงพระบางและนางยอดคำมีบุตรชายชื่อ 'เจ้าเชษฐวังโส' หรือพระไชยเชษฐ์ ดังนั้นหากนับญาติ เจ้าเมืองเชียงใหม่ (พระเมืองเกษเกล้า) คือพระเจ้าตา ของ 'พระไชยเชษฐ์' ต่อมาพระเจ้าเมืองเชียงใหม่เสด็จสวรรคต และไม่มีทายาทสืบทอด พระเจ้าโพธิสาลราชได้เสนอให้พระราชโอรสคือ เจ้าเชษฐวังโส (พระไชยเชษฐ์) ซึ่งมีเจ้านางยอดคำทิพย์ เชื้อพระวงศ์เชียงใหม่เป็นพระมารดาขึ้นเป็นกษัตริย์ ทางเชียงใหม่ตอบตกลง เจ้าเชษฐวังโส จึงไปครองเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2090 

  ซึ่งในขณะนั้น เจ้าเชษฐวังโส (พระไชยเชษฐ์) มีพระชนม์เพียง 15 พรรษา

มาเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ต่อจากพระเจ้าตา 

   -เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐ์ครองเมืองเชียงใหม่ไม่นาน พระบิดาของพระองค์ (พระยาโพธิสาลราช) ที่ครองเมืองหลวงพระบางก็เสด็จสวรรคต ท่านจึงเดินทางกลับไปที่หลวงพระบาง พร้อมนำ'พระแก้วมรกต' และ'พระแซกคำ' กลับไปด้วย 

  -เพราะอยากให้พระประยูรญาติของพระองค์ และประชาชนที่หลวงพระบางจะได้มีโอกาสสักการะบูชา'พระแก้วมรกต' และ'พระแซกคำ' แต่การไปครั้งนี้ท่านไม่กลับมาเชียงใหม่อีกเลย (พระเจ้าไชยเชษฐ์ ได้นำ'พระแก้วมรกต' และ'พระแซกคำ'ไปจากเชียงใหม่ในปี พ.ศ.2095) 

   -พระแก้วมรกต' และ'พระแซกคำ' ประดิษฐาน ณ หลวงพระบางเป็นเวลา 12 ปี คือปี พ.ศ.2095 ถึง พ.ศ.2107 

   -แล้วในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง กองทัพพม่าของพระเจ้าบุเรงนองมีความแข็งแกร่ง และได้ขยายอำนาจออกไปเป็นอย่างมาก รบที่ไหนชนะทุกที่ พระเจ้าไชยเชษฐ์ จึงคิดว่าเมืองหลวงพระบางนั้นอยู่ใกล้พม่าเกินไป จึงตัดสินใจย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมายังเมืองเวียงจันทน์ และได้อัญเชิญ'พระแก้วมรกต', 'พระแซกคำ' และ 'พระบาง' มาประดิษฐานที่นครเวียงจันทน์ 

  จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นหลายสิบปี จากหลายสิบปีเป็น 215 ปี ที่'พระแก้วมรกต' ประดิษฐาน ที่นครเวียงจันทร์ คือ                 -ตั้งแต่ พ.ศ 2107 ถึง พ.ศ 2322 ซึ่งถ้านับเวลาที่ 'พระแก้วมรกต' อยู่ในประเทศลาวรวมกันคือ 227 ปี 

  -ซึ่งถ้านับช่วงอายุคนก็ประมาณ 3 ช่วงอายุคน ด้วยเหตุนี้เอง ที่คนส่วนใหญ่คิดว่า'พระแก้วมรกต'มาจากประเทศลาว 

  -ย้อนกลับมายัง ประเทศไทย ในช่วง อยุธยา ประมาณ พ.ศ 2310 

   -พม่าบุกกรุงศรีอยุธยา มีทหารหนุ่มชื่อ 'ตากสิน' นำกำลังบุกฝ่ากองทัพพม่าออกมา พร้อมทหารคู่ใจของพระองค์นามว่า 'พระยามหากษัตริย์ศึก' ซึ่งรบเก่งมาก และอายุยังน้อย หลังจากพระเจ้าตากสินมหาราชได้เอาชนะพกองทัพพม่า และกอบกู้ประเทศได้ 

   -แต่ตอนนั้นกรุงศรีอยุธยาพังหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงตัดสินใจย้ายมาสร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ชื่อ 'กรุงธนบุรี' โดยมีพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นผู้นำทหาร ในปี พ.ศ. 2321     

  -ระยะกึ่งกลางพอดีพระยามหากษัตริย์ศึกได้ไปรบที่เวียงจันทน์จนได้ชัยชนะ และได้นำ'พระแก้วมรกต' และ'พระบาง' กลับมายังประเทศไทย พระเจ้าตากสินโปรดให้อัญเชิญ'พระแก้วมรกต' และ'พระบาง'ขึ้นประดิษฐานไว้ในมณฑป ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังพระอุโบสถเก่า และพระวิหารเก่า หน้าประปรางค์ (วัดอรุณ ในปัจจุบัน)  

   -จวบจนกระทั่งพระเจ้าตากสินเสด็จสวรรคต ต่อมา 'เจ้าพระยากษัตริย์ศึก' จึงเสด็จขึ้นครองราชย์แทน และปราบดาภิเษกเป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่1 

  -ในเวลานั้นพระเจ้าเวียงจันทร์ ซึ่งเป็นประเทศราชได้มาถวายเครื่องราชบรรณาการ และได้กราบบังคมทูลขอพระบาง กลับไปเวียงจันทร์ด้วย

   จึงพระราชทาน'พระบาง' คืนไปไว้นครเวียงจันทร์ตามประสงค์ 

   -และในส่วนของ'พระแซกคำ'นั้น ในปี พ.ศ.2369 พระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ยกทัพขึ้นไปปราบเจ้าอนุวงศ์ แห่งอาณาจักรล้านช้าง หรือนครเวียงจันทร์ จึงอัญเชิญ'พระแซกคำ' กลับมาถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานแก่ 'พระยาราชมนตรีบริรักษ์' (ภู่) ให้เป็นพระประธาในพระอุโบสถ 'วัดคฤหบดี' พระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา เชิงสะพานพระราม 8 ในปัจจุบัน ซึ่งท่านเป็นผู้สร้าง 

  -รัชกาลที่ 1 ทรงย้ายราชธานีใหม่มาอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา (วัดพระแก้ว และพระบรมมหาราชวัง ในปัจจุบัน) หรือฝั่งตรงข้ามกรุงธนบุรี และทรงเปลี่ยนชื่อราชธานีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับพระนามของ'พระแก้วมรกต' ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า 'พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร'   
โดยเปลี่ยนชื่อราชธานีเป็น : "กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยามหาดิลก ภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" 
 ซึ่งมีความหมายว่า : “นครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร เป็นที่สถิตของ'พระแก้วมรกต' เป็นนครที่ไม่มีใครรบชนะได้ มีความงดงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ น่ารื่นรมณ์ยิ่ง มีพระรานิเวศใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตาลลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้” 

   -น่าเสียดายที่คนไทยทุกคนรู้จัก'พระแก้วมรกต' แต่ส่วนน้อยเหลือเกินที่จะรู้ถึงประวัติ และความเป็นมา ว่ามาจากที่ใด 
 “ตำนานพระแก้วมรกต”

คำสำคัญ (Tags): #"พระแก้วมรกต"
หมายเลขบันทึก: 710130เขียนเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2022 14:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2022 14:15 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท