โครงการเยี่ยมฝันปันยิ้ม ครั้งที่ 7 ของ “ชมรมรุ่นสัมพันธ์” มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 10 กันยายน 2565 ณ โรงเรียนบ้านสว่างซำโอง อำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ข้อ คือ
1) เพื่อมอบอุปกรณ์การศึกษา อุปกรณ์การกีฬา ให้กับทางโรงเรียน
2) เพื่อศึกษาและนำความรู้ไปปรับใช้ต่อองค์กรและเป็นแนวทางในการดำเนินกิจกรรม “ค่ายความรู้นี้พี่ให้น้อง”
3) เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างนิสิตกับโรงเรียนชุมชนและวัด ตามหลัก “บวร”
โดยส่วนตัวแล้ว ผมสนใจวัตถุประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 2 มากที่สุด เพราะมีความเชื่อมโยงกับชื่อโครงการอย่างน่าสนใจ กล่าวคือ เป็นกิจกรรมที่มุ่งนำมวลสมาชิกชาวค่ายกลับไป “เยี่ยมยามถามข่าว” ชุมชน หรือโรงเรียนที่นิสิตเคยไป “ออกค่าย”
และเมื่อพิจารณาผ่านวัตถุประสงค์ข้างต้น จะพบว่า ไม่เพียงแค่การ “กลับไปเยี่ยม” ธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ยังมีนัยยะครอบคลุมถึงการ “ไปแบ่งปัน” ในตัวอย่างเสร็จสรรพ หรือพูดให้ชัดขึ้นก็คือเป็นกิจกรรมที่กลับไปเยี่ยมชุมชนที่เคย “ไปออกค่าย” แต่มิใช่กลับไปมือเปล่า หากมีกิจกรรม “ต่อยอด-รังสรรค์” ให้กับชุมชนด้วยเช่นกัน
กิจกรรมที่รังสรรค์-ต่อยอดขึ้นในครั้งนี้ นิสิตไม่ได้นั่งจินตนาการขึ้นเอง ทว่ามีการสอบถามคณะครูอย่างต่อเนื่องว่าต้องการกิจกรรมอะไรเพิ่มเติมบ้าง ซึ่งการสอบถามดังกล่าว เป็นเสมือนกระบวนการ “พัฒนาโจทย์บนฐานความต้องการของชุมชนหรือโรงเรียน” ก็ว่าได้
หรือจะเรียกเป็นทางการว่าเป็นกระบวนการสำรวจปัญหาเพื่อนำมาออกแบบเป็นกิจกรรมก็ไม่ผิด และผลของการสอบถามข้างต้นจึงนำไปสู่การออกแบบกิจกรรมที่โรงเรียนต้องการ นั่นคือ การมอบอุปกรณ์การศึกษา อุปกรณ์การกีฬา การมอบผ้าสแลนเพื่อใช้มุงกันแดดในสถานที่สำคัญๆ ของโรงเรียน กีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ การถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์
รวมถึงการจัดฐานการเรียนรู้แก่นักเรียนภายใต้ชื่อ Scinece Show เป็นต้นว่า –
โดยส่วนตัวผมมองว่า ฐานการเรียนรู้ที่จำลองขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่ดีงามอย่างยิ่ง เพราะเกี่ยวโยงกับการเรียนรู้ในหลายมิติ ยกตัวอย่างเช่น การเรียนรู้โดยใช้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center Learning & Student-centered learning) อันหมายถึงเกี่ยวพันกับช่วงวัยและสาระการเรียนรู้ของนักเรียน เน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Learning by doing) เพื่อก่อให้เกิดความตื่นตัว - ก่อให้เกิดความรู้และทักษะควบคู่กันไป
และทั้งปวงนั้นก็คือการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) ในศตวรรษที่ 21 อย่างไม่ต้องสงสัย
ผมย้ำว่า ผมชื่นชมที่นิสิตออกแบบกิจกรรมผ่านกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะช่วยให้นักเรียนสนุกและตื่นตัวกับการเรียนรู้ผ่านการ “ทดลอง” ร่วมกันอย่างเป็น “ทีม” ซึ่งนั่นก็เป็นการฝึกกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อนำไปสู่ทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทักษะการสังเกต การคิดวิเคราะห์ การตีความ การจินตนาการ ฯลฯ
ครับ – นั่นคือกิจกรรมที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่ เพื่อนำไปต่อยอดให้กับโรงเรียนและชุมชน
ส่วนอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีนัยยะเป็นหนึ่งเดียวกับวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 อย่างชัดเจนก็คือการกลับไปเรียนรู้ผลงานเก่าที่ชมรมฯ ได้ก่อร่างสร้างฝันไว้
– เป็นการกลับไปเรียนรู้ผ่านวาทกรรมของการ “เยี่ยมฝัน” ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งคราวก่อน (ค่ายความรู้นี้พี่ให้น้อง ครั้ง 18)
– เป็นการกลับไปเรียนรู้ที่ซ่อนมีนัยสำคัญแห่งการประเมินผลงาน หรือการใช้ประโยชน์จริงไปในตัว
กรณีดังกล่าวนี้ ปรากฏชัดแจ้งผ่านกิจกรรมที่แกนนำชมรมฯ ได้นำนิสิตเข้าเยี่ยมชมกิจกรรมที่เคยขับเคลื่อนไว้ เช่น ห้องสมุด ห้องพยาบาล สนามฟุตซอล ลาน BBL โดยหวังว่าสิ่งที่พบเห็นจะถูกนำมาแปลงเป็นฐานข้อมูลเพื่อทบทวนและต่อยอดสู่กิจกรรมครั้งใหม่ภายในชื่อ ค่ายความรู้นี้พี่ให้น้อง ครั้งที่ 19
จากภาพรวมกิจกรรมข้างต้น ทั้งที่เป็นกิจกรรมการเยี่ยมชมผลงานเก่าและกิจกรรมที่รังสรรค์ขึ้นใหม่ จึงยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกว่า “เยี่ยมฝันปันยิ้ม ครั้งที่ 7” คือระบบ-กลไกการ “สอนงานสร้างทีม” ของชมรมรุ่นสัมพันธ์ดีๆ นั่นเอง กล่าวคือ เป็นการสอนงานผ่านการศึกษาดูงาน (Study tour) โดยใช้ผลงานเดิมเป็นกรณีศึกษา (Case study) เป็นการสอนงานโดยไม่ต้องพรรณนาสาธยายสรรพคุณให้มากความ แต่เน้นให้เรียนรู้ผ่านผลงานเชิงประจักษ์ร่วมกัน
ใช่ครับ – กระบวนการที่ว่านี้ จึงเป็นเสมือนการ “ปล่อยให้งาน บอกเล่าแทนคำพูด”
รวมถึงการใช้ “ผลงาน” หรือ “หน้างาน” ที่ว่านั้นเป็น “ฐาน” หรือ “โจทย์” การเรียนรู้แบบสดๆ ซึ่งผมเชื่อว่ากระบวนการเช่นนี้ จะช่วยให้นิสิตที่เป็นสมาชิกใหม่ เกิดความเข้าใจในประวัติศาสตร์ของชมรมฯ เข้าใจทิศทาง-ปรัชญาการทำงานของชมรมฯ เข้าใจวิธีการทำงานที่มีการปรับแต่งให้สอดรับกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า (โควิด-19)
พร้อมๆ กับการเสริมหนุนให้สมาชิกใหม่เกิดแรงบันดาลใจในการที่จะเรียนรู้ชีวิตผ่านกิจกรรมนอกหลักสูตร (Extracurricular activity) ทั้งในนามชมรมรุ่นสัมพันธ์ และอื่นๆ
ในทำนองเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงประเด็นทักษะ (Skills) ที่ปักธงเป็นหัวใจหลักของการเรียนรู้ในโครงการนี้มี 3 ทักษะ ได้แก่ 1) ทักษะด้านภาวะผู้นำ 2) ทักษะการปรับตัว มีมนุษยสัมพันธ์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น 3) ทักษะการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ก็พอจะมองเห็นภาพในมุมกว้างได้พอสมควร
ยกตัวอย่างเช่น กรณีทักษะความเป็นผู้นำ ที่หมายถึงการบริหารงานบริหารคน เป็นต้นว่า การมอบหมายนิสิตชั้นปีที่ 1 รับผิดชอบเรื่อง Scinece Show ส่วนนิสิตชั้นปีอื่นๆ จะรับผิดชอบสายงานกิจกรรมกีฬา สายงานพิธีการ ฯลฯ แต่ในสายงานที่นิสิตชั้นปีที่ 1 ดูแลนั้นก็จะมีนิสิตรุ่นพี่คอยทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” อยู่ข้างๆ
ขณะที่แกนนำชมรมฯ และคณะกรรมการค่ายก็ดูแลภาพรวม ทั้งกำกับติดตาม -หนุนเสริม หรือแม้แต่การเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในเนื้องานของกิจกรรมต่างๆ
การทำงานในลักษณะดังกล่าว จึงไม่เพียงสะท้อนให้เห็นภาพความเป็นผู้นำที่ว่าด้วยการแบ่งหน้าที่บนฐานคิดการการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) เท่านั้น แต่ทุกๆ กิจกรรมทั้งที่เป็นฐานวิทยาศาสตร์ กิจกรรมกีฬา การศึกษาดูงานผ่านกรณีกิจกรรมที่เคยจัดขึ้น หรือแม้แต่กิจกรรมการถวายเพล และการยกเลิกบางกิจกรรมด้วยข้อจำกัดของเวลา ต่างล้วนยึดโยงถึงประเด็นทักษะการปรับตัว-ปรับงาน -การทำงานร่วมกัน ตลอดจนการสื่อสารสร้างสรรค์ ทั้งในระดับนิสิตกับนิสิต และนิสิตกับโรงเรียน/ชุมชน
ซึ่งผมมองว่า ครอบองค์ทักษะของการเรียนรู้ทั้ง 3 ประเด็นอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนจะก่อเกิดเป็นความรู้และทักษะในเชิงลึก หรือแผ่ขยายในวงกว้างต่อมวลสมาชิกชาวค่ายหรือไม่นั้น ต้องให้นิสิตมายืนยันด้วยตนเอง
แต่ที่แน่ๆ ในมุมมองของผม - “เยี่ยมฝันปันยิ้ม” มีคุณค่าและความหมายมากกว่าการไปเยี่ยมยามถามข่าวโดยทั่วไปอย่างแน่นอน
เขียน : ศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565
ภาพ : ชมรมรุ่นสัมพันธ์
“ความสุข” ของการนั่งมองใครสักคนทำงาน
นั่นคือ “ความสุข”