จิตของผมยังประหวัดอยู่กับการประชุมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เพื่อเด็กทุกคน บทเรียนจากโรงเรียนพัฒนาตนเอง รุ่น ๑” ระหว่างวันที่ ๓ - ๔ กันยายน ๒๕๖๕ ณ โรงแรม ทีเค พาเลซ แจ้งวัฒนะ ที่ผมไปร่วมในวันที่ ๓ และมีข้อสรุปว่า โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ไม่เป็นสถาบัน ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เป็นหลักของชุมชน เพราะทั้งผู้อำนวยการและครูส่วนใหญ่ ต่างก็ไปทำงานเพียงชั่วคราว เพื่อรอโอกาสย้าย
ยิ่งกว่านั้น ผู้บริหารที่ส่วนกลาง ก็สั่งการเพื่อให้โรงเรียนทำงานเพื่อสร้างผลงานให้แก่หน่วยงานของตนที่ส่วนกลาง ขโมยผลประโยชน์จากนักเรียนในโรงเรียนเหล่านั้น มีผลให้นักเรียนเหล่านั้นได้รับการศึกษาคุณภาพต่ำ
นี่คือสาเหตุเชิงระบบ ของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่ควรมีการวิจัยเชิงระบบ เพื่อสร้างข้อมูลหลักฐานพิสูจน์ว่าข้อสรุปนี้ของผม เป็นความจริง หรือเป็นความหลงผิดของคนแก่อย่างผม
โรงเรียนเหล่านี้ไม่เป็นสถาบัน ไม่มีอัตลักษณ์ของตนเอง ไม่มีความต่อเนื่องยั่งยืน เพราะถูกใช้เป็นบันไดทางผ่านของบุคลากรทางการศึกษาในระบบการศึกษา ไม่มีใครอยากอยู่ทำงานนานๆ เพื่อสร้างผลงาน เพราะระบบไม่เอื้อหรือชักจูงให้บุคลากรทางการศึกษาสร้างผลงานผ่านข้อพิสูจน์ว่าได้ transform โรงเรียน ให้เป็นแหล่งสร้างผลลัพธ์การเรียนรู้คุณภาพสูงให้แก่นักเรียน ผลงานของบุคลากรเป็นผลงานทางวิชาการที่ไม่ผูกพันกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน
นี่คือระบบการศึกษาที่ถูกออกแบบให้มีความเหลื่อมล้ำอยู่ในระบบ โดยไม่รู้ตัว ไม่ตั้งใจ เพราะเป็นระบบที่ขาดการวิจัยระบบ สำหรับเป็นปัญญา และเป็นสติ ของระบบ ว่าระบบการศึกษาไทยกำลังส่งมอบผลลัพธ์อะไรให้แก่สังคมหรือประเทศไทย
กำลังส่งมอบความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยไม่ตั้งใจ
นี่คือระบบการศึกษาที่มืดบอด หรือหากไม่มืดบอดทางปัญญา ก็จงใจปล้นผลประโยชน์จากเด็กในพื้นที่ห่างไกล และจากผลประโยชน์ของสังคมไทยในระยะยาว แย่งชิงผลประโยชน์สู่ผู้มีอำนาจและผู้รับใช้
นักวิชาการศึกษาไทย ไม่คิดตั้งโจทย์วิจัยเชิงระบบเพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานี้ไม่เป็นจริง หรือพิสูจน์ว่าเป็นจริง ที่จะนำสู่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่เกิดจากระบบที่ผิดเพี้ยนบิดเบี้ยว
กสศ. ที่ตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ตระหนักในความจริงนี้หรือไม่ และจะดำเนินการแก้ไข เพื่อสร้างความเข้มแข็งระยะยาวให้แก่การศึกษาไทย และแก่สังคมไทยอย่างไร
ผู้ใหญ่ ในกระทรวงศึกษาธิการ ตระหนักในความจริงนี้หรือไม่ และตระหนักในความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ของตนเองหรือไม่
ผมเขียนบันทึกนี้ด้วยสภาพจิตใน creative mode ข้อความในบันทึกนี้จึงอาจไม่เป็นจริงทั้งหมดก็ได้ และต้องกราบขออภัย หากไปกระทบกระเทือนต่อท่านผู้ใด เจตนาของผมคือ ชี้ให้เห็นความผิดพลาดเชิงระบบ เพื่อช่วยกันหาทางแก้ เพื่ออนาคตของสังคมไทย
โรงเรียนไทยไม่มีวันพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืนได้ หากระบบการศึกษายังเป็นเช่นนี้
ข่าว (๑) สะท้อนความซับซ้อน ของระบบการศึกษา ความเชื่อมโยงกับระบบการเมืองเรื่องผลประโยชน์ โปรดอ่านข่าว แล้วค้นหาว่า ผลประโยชน์ของเด็กอยู่ตรงไหน
วิจารณ์ พานิช
๔ ก.ย. ๖๕
ไม่มีความเห็น