รีวิว Mr.Harrigan's Phone: โทรศัพท์คนตาย (2022 Netflix)


รีวิว Mr.Harrigan's Phone: โทรศัพท์คนตาย (2022 Netflix) เมื่อมิตรภาพอันยั่งยืนระหว่างเด็กชายและมหาเศรษฐี ที่เริ่มต้นจากการอ่านหนังสือจนไปจบที่โทรศัพท์ iPhone เครื่องแรก และเมื่อชายชราจากไปมิใช่เพียงแค่สายสัมพันธ์ยังคงอยู่ แต่โทรศัพท์ที่ฝังรวมไปกับร่างของชายขราสามารถส่งข้อความกลับมาหาเด็กชายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ดูคลิปรีวิวที่นี่

Mr.Harrigan's Phone: โทรศัพท์คนตาย เล่าเรื่องราวของ เคร๊ก เด็กชายผู้เปรี่ยวเหงาที่ใช้ชีวิตกับพ่อ ที่แม่เพิ่งเสียขีวิตไปได้ไม่นาน เขาได้พบกับ มิสเตอร์เฮอริแกน ชายผู้เป็นมหาเศรษฐีมั่งคั่งที่สุดของเมือง ได้ว่าจ้างให้เคร๊ก ไปอ่านหนังสือที่คฤหาสน์ของเขาสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เด็กชายจะได้รับเงินเป็นค่าตอบแทนชั่วโมงละ 5 ดอลล่า เด็กชายก็รับงานนี้

เคร๊ก ได้อ่านหนังสือให้ชายชราฟังวันแล้ววันเล่า จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านหนังสือ มีการสนทนาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันหลังจากการอ่านจบ เคร๊กได้ค่าตอบแทนเป็นรายชั่วโมงแล้ว ยังได้รับของขวัญพิเศษปีละ 4 ครั้ง ก็คือฉลาก Lotto ด้วย ทั้งสองมีความสนิทสนมกันและมีความสัมพันธ์ราวกับญาติสนิท

มิสเตอร์เฮอริแกนสอนให้เคร๊กได้รู้จักการวางตัวในโลก สอนให้ต่อสู้กับศตรู และสอนให้จัดการกับศัตรูอย่างเด็ดขาดทันที

วันหนึ่งฉลาก Lotto ที่เคร๊กได้นั้นถูกรางวัลสามพันดอลล่า เขาจึงอยากตอบแทนมิสเตอร์เฮอริแกน ด้วย การซื้อโทรศัพท์ iPhone 1 ให้ เคร๊กยังสอนวิธีการใช้ การสอนให้รู้จักการอ่านข่าวออนไลน์ ที่มีเป็นปัจจุบันมากกว่าการอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ สอนให้รู้จักการตั้งเสียงเรียกด้วย ซึ่งในวันนั้นเองมิสเตอร์เฮอริแกน ก็ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับข่าวออนไลน์ เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ต และผลกระทบด้านลบที่จะเกิดขึ้นด้วย

แต่แล้วเช้าวันหนึ่งเคร๊ก เดินเข้าไปในคฤหาสน์เพื่อจะอ่านหนังสือให้มิสเตอร์เฮอริแกนฟังเช่นเดิม แต่เช้าวันนั้นคือการจากไปของมิสเตอร์เฮอริแกนแบบที่ไม่ได้เอ่ยคำล่ำลา

เคร๊กเสียใจมาก ที่เพื่อนรักที่ดีที่สุดของเขาเพียงคนเดียวจากไป

ในช่วงพิธีกรรมการทำศพ เคร๊กได้แอบใส่โทรศัพท์ iPhone ไว้ในกระเป๋าเสื้อนอกของมิสเตอร์เฮอริแกน

จากนั้นในวันต่อมา โทรศัพท์ iPhone ของมิสเตอร์เฮอริแกน ได้ส่งข้อความกลับมาหาเคร๊ก และการติดต่อกันได้นั้น นำมาซึ่งโศกนาฏกรรม ความหวาดผวา และอะไรอีกหลายอย่าง ที่จะทำให้เคร๊กเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความเชื่อ และเปลี่ยนตัวเขาเองไปตลอดกาล

Mr.Harrigan's Phone คือภาพยนตร์แนวสยองขวัญระทึกขวัญ ที่สร้างจากงานเขียนของ  Stephen King ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่องานวรรณกรรมแนวระทึกขวัญสยองขวัญแห่งยุค และเป็นหนึ่งในภาพยนตร์จาก Netflix Original ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ Netflix เขาได้นำผลงานเขียนของ Stephen King มาสร้างเป็นภาพยนตร์ หรือซีรีส์ Original ของ Netflix เช่น Gerald's Game เกมส์กระตุกขวัญ (2017), 1922 (2017), In the Tall Glass (2019) ซึ่งบางเรื่องก็สนุกบางเรื่องก็แค่พอใช้ ใครสนใจเรื่องไหนก็ไปหาชมได้ จากทาง Netflix เลยนะครับ

ส่วน Mr.Harrigan's Phone สร้างจากงานเขียนของ Stephen King เรื่อง King if it Bleeds ที่ถูกตีพิมพ์ในปี 2020 ตอนดูช่วงแรกก็นึกว่าจะเป็นแนวแฟนตาซี แต่ดูไปดูมามันก็ออกไปทางดราม่าด้วยซ้ำ และบอกตามตรงว่าตั้งแต่เริ่มจนจบนั้นไม่มีสิ่งไหนที่ออกมาในแนวสยองขวัญเลย เพียงแค่รู้สึกว่ามันแปลกประหลาด และพิศวงเล็กน้อยเท่านั้น

เล่าเรื่องราวของเด็กชายกับชายชราผู้ร่ำรวย ที่ทั้งสองคนมีความเหมือนกันตรงที่ความอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว และต้องไปเชิญกับการสูญเสียแม่จากไปตั้งแต่ที่ทั้งสองคนนั้นวัยเด็กเช่นกัน

อารมณ์ของเรื่องจะไปเน้นที่แสดงความสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างคนสองวัยมากกว่า ดังนั้นใครคาดหวังถึงความระทึกขวัญสยองขวัญก็คงจะผิดหวังแน่นอน ก็ถือว่าการที่ Netflix ปล่อยฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงเดือนตุลาคม เดือนปล่อยผี ก็นับว่าผิดหวังไม่น้อย

แต่ถ้าเข้าใจความหมายที่หนังต้องการสื่อแล้ว ตัดการคาดหวังออกไป ส่วนตัวผมมองว่า Mr.Harrigan's Phone อยู่ในเกณฑ์ที่เรียกดีเลยทีเดียว

และอย่าลืมว่างานวรรณกรรมหลายเรื่องของ Stephen King แม้ฉากหน้าจะดูเป็นแนวระทึกขวัญสยองขวัญ แต่หัวใจของเรื่องแต่ละเรื่องก็ล้วนอยู่ตรงที่การเรียนรู้ การเติบโต และกานตกผลึกของตัวครทั้งสิ้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์สยองขวัญที่เกิดขึ้นกับตัวละครในงานเขียน Stephen King  หลาย ๆ เรื่อง มันก็คือสะท้อนด้านมืด ความกลัว หรืออดีตอันเลวร้ายของตัวละครตัวนั้น ๆ นั่นเอง

Mr.Harrigan's Phone ก็ได้ใช้ความกลัว ความเหงา ความเศร้ามาแทนค่าความระทึกขวัญสยองขวัญ ที่คนดูจะต้องใช้ประสบการณ์ของตนเองมาตีความ

ชอบการพัฒนาเรื่องราวและความคิดของตัวละครมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครของฝั่งเด็กชาย หรือตัวละครฝั่งชายชรา มีการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การเรียนรู้โลกทัศน์และยุคสมัยของแต่ละช่วงวัย

เด็กชายได้เรียนรู้แนวคิดและวิธีการจากแบบเดิม แทนค่าด้วย "การหนังสือ" ซึ่งเป็นสื่อยุคดั้งเดิมของโลก ส่วนชายชราก็ได้เรียนรู้โลกทัศน์และยุคสมัยของสังคมยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคม Global Network  สังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นช่วงของยุคในศตวรรษที่ 21 ผ่าน โทรศัพท์ "iPhone" ซึ่งหลายคนให้การยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงโลกที่สำคัญ

และที่สำคัญที่สุดเราจะได้เห็นตัวละครเติบโตผ่านสถานการณ์ เมื่อถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายตัวละครก็ได้ผ่านเหตุการณ์นั้นแม้ว่าจะใช้วิธีการที่ถูกหรือผิดอย่างไร และเรียนรู้ว่าควรจะจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร เรียกได้ว่าตัวละครทั้งสองตัวนั้นโตขึ้นไปพร้อม ๆ กับการเรียนรู้นั่นแหละ

มีการเสียดสีสังคมก้มหน้ายุคปัจจุบันด้วย เช่นการแบ่งฝักฝ่ายของผู้คน การแบ่งสถานทางสังคมของผู้คน ผ่านสัญลักษณ์ของฝ่ายนิยมโทรศัพท์ iPhone ฝ่ายนิยมโทรศัพท์ Samsung หรือฝ่ายนิยมโทรศัพท์จากค่ายอื่นอย่างชัดเจน

ให้เห็นภาพของโรงอาหารของโรงเรียน ที่จะมีกลุ่มเด็กนั่งก้มหน้ากดโทรศัพท์ตามยี่ห้อของตัวเองที่ถูกแบ่งเป็นโต๊ะไป แม้แต่ตัวพระเอกของเรื่องก็ยังอยากได้โทรศัพท์ iPhone เพื่อเข้าไปนั่งอยู่ในกลุ่ม iphone ด้วย เพราะ iPhone คือโทรศัพท์ที่ออกมาใหม่ล่าสุดราคาสูง ใครที่อยู่กลุ่มนี้ก็จะเป็นคนที่มีฐานะดี คนที่จะอยู่ในความสนใจของผู้คนตลอดเวลา

แต่ที่ตลกร้ายก็คือทุกกลุ่ม แม้จะอยู่กับกลุ่มโทรศัพท์ตามค่ายของตัวเอง แต่แต่ละโต๊ะกลับไม่มีใครคุยกันเลย ต่างคนต่างก้มหน้า จนเมื่อถึงเวลาเข้าห้องเรียนก็แยกย้ายจากกันโดยที่ไม่มีใครพูดจาทักทายหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัเลย เป็นการสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมในสังคมปัจจุบันว่า คนให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ในโทรศัพท์ ที่เป็นสังคมเสมือนจริง มากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ที่เป็นสังคมแบบจริง ๆ

หนักเข้าก็คือเมื่อเด็กได้นำโทรศัพท์ iPhone ไปมอบให้กับชายชรา สอนให้ชายชรารู้จักใช้ แล้วเมื่อชายชราใช้มันเป็นแล้ว กลับกลายเป็นว่าแทบไม่สนวิถีชีวิตแบบเดิมของตนเช่นการมีนิสัยไม่ชอบดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุ แต่เมื่อติดการใช้โทรศัทพ์แล้วก็การย้อนแย้งกับพฤติกรรมดั่งเดืมของตนเองทันที

ยังสะท้อนมาช่วงที่เมื่อเด็กชายนั่งอ่านหนังสือให้ฟังตามปกติ แต่ชายชรากับนำโทรศัพท์ iPhone ขึ้นมาอ่านข่าวหรือเรื่องราวที่อยู่ภายในแทน การฟังการอ่านหนังสือเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบเท่านั้น

ทั้งยังสอนให้รู้จักการตีความข้อมูลข่าวสาร หรืออะไรก็ตามอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตด้วย ต้องวิเคราะห์ว่าอะไรคือเรื่องจริง อะไรคือเรื่องแต่ง หรืออะไรคือเรื่องโกหก หรือแม้กระทั่งการตีความข้อความทั้ง SMS หรือการแซตผ่าน Application ถ้าหากตีความผิด ก็อาจทำให้เรื่องเราเลวร้ายบานปลายมากขึ้นด้วย  

แต่หนังเขาก็มีความฉลาดมากพอที่จะไม่ได้เป็นการต่อต้านเทคโนโลยีหรือสังคม Social Media เสมอไป เขาทำให้เห็นว่า การอ่านหนังสือในยุคเก่ารวมกับการใช้อินเทอร์เน็ตในโลกยุคใหม่นั้น สามารถเดินไปด้วยกันได้

เมื่อดูจบก็แอบคิดไม่ได้ว่า Stephen King ได้พยายามตั้งคำถามกับสังคมปัจจุบันที่อยู่ภายใต้โลกอินเทอร์เน็ต หรือยุคดิจิตอบทุกวันนี้อย่างไร

ชอบการแสดงของ Jaeden Martell มาก เรื่องนี้เขาถ่ายทอดความลึกทางอารมณ์และความคิดของตัวละครเคร๊กได้ดีมาก  มากกว่าใน It มันโผล่จากอีกซะอีก แต่สิ่งที่น่าสังเกตส่วนตัวคือ ยิ่งดูเขาเล่นก็ทำให้นึกถึง Harry potter ไม่น้อย หน้าตาเหมือนกันมาก ๆ

ส่วน Donald Sutherland ก็แสดงได้ดีมาก ๆ แม้จะไม่ได้ขยับเขยื่อนอะไรเลย แต่ทุกอารมณ์ก็ออกมาทางสีหน้า แววตา และคำพูดได้อย่างทรงพลังสุด ๆ

ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่า Mr.Harrigan's Phone จะถ่ายทอดเรื่องราวเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมอันแตกต่างระหว่าง ยุคของการอ่านหนังสือและยุคของสังคมโลกาภิวัตน์ได้ดี การแสดงของนักแสดงทุกคนก็เล่นดี แต่ด้วยการที่ทั้งเรื่องนั้นแทบไม่มีอะไรเลย เนื้อเรื่องน้อยมาก เอื่อยเฉื่อยเนิบช้า แถมยังแอบผิดหวังกับความสยองขวัญเล็ก ๆ จึงจำเป็นต้องหักคะแนนความชอบจากหนังเรื่องนี้พอสมควร

ท้ายที่สุด Mr.Harrigan's Phone อาจสอนเราว่า การยอมรับจากเปลี่ยนผ่านของยุค การปรับตัว การเรียนรู้เพิ่มเติม และการก้าวข้ามอดีตหรือก้าวข้ามความรู้สึกจากประสบการณ์อันเลวร้าย นั่นแหละคือสิ่งที่จะทำให่เราใชีขีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านแบบไหน ครั้งไหน หรือสักกี่ครั้งก็ตาม

6/10 
@วาทิน ศานติ์ สันติ


#SuperReviewChannel
#MrHarrigansPhone
#MrHarrigansPhoneNetflix
#MrHarrigansPhone2022
#StephenKing
#NetflixOriginal

หมายเลขบันทึก: 708395เขียนเมื่อ 7 ตุลาคม 2022 12:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม 2022 12:53 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท